เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ศาลอาญา ถ.รัชภาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีดำ อย.5907/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเล่าต๋า แสนลี่ อายุ 77 ปี นักค้ายาเสพติดระดับชาติ, นางอาส่าหม่า แสนลี่ อายุ 67 ปี ภรรยา, นางรพีกาญจน์ หรือจันทร์ฉาย หรือไก่ ภพเพชรลักษณ์ หรือทรายมูล อายุ 57 ปี, นายวิจารณ์ แสนลี่ อายุ 41 ปี บุตรชาย ซึ่งเป็นอดีตกำนัน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และนายบารมี บารมีเกื้อกูล อายุ 38 ปี ทั้งหมดเป็นชาว จ.เชียงใหม่ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน ร่วมกันสมคบและร่วมกันจำหน่าย ยาไอซ์ ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต, ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490

โดยอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 59 ที่ผ่านมา ซึ่งพฤติการณ์สืบเนื่องเมื่อวันที่ 20 กันยายน – 11 ตุลาคม 59 นายเล่าต๋า, นางอาส่ามา และนางรพีกาญจน์ จำเลยที่ 1-3 มียาไอซ์ 1ถุง หนัก 994 กรัมเศษ ซึ่งนำมาจำหน่ายให้กับสายลับ ราคา 550,000 บาทที่นายเล่าต๋า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อเจรจาซื้อขายยา

ส่วนนายวิจารณ์ และนายบารมี จำเลยที่ 4-5 เป็นผู้จัดหายาไอซ์ ชนิดผลึกสีขาว จำนวน 20 ถุง หนัก 19 กิโลกรัมเศษ จำหน่ายให้แก่สายลับที่เข้าล่อซื้อราคา 11 ล้านบาท โดยที่นายวิจารณ์ กับนายบารมี ยังทำหน้าที่คุ้มกันให้นายเล่าต๋า ระหว่างส่งมอบยาเสพติดด้วย ซึ่งระหว่างที่ถูกจับกุมนายเล่าต๋า จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนสั้นและปืนยาว รวม 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมาก ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ส่วนนายวิจารณ์ บุตรชาย จำเลยที่ 4 มีอาวุธปืน ขนาด.45 พร้อมเครื่องกระสุน, โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่องที่ใช้ในการติดต่อ และยาเสพติดของกลาง เหตุเกิดที่ปั๊มน้ำมัน “เล่าต๋า ปิโตรเลียม” เลขที่ 137 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ชั้นสอบสวนนายเล่าต๋าและนางอาส่าหม่า ภรรยา ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเท่านั้น ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ ขณะที่นางรพีกาญจน์ ให้การรับสารภาพโดยตลอด ส่วนนายวิจารณ์ รับสารภาพเฉพาะข้อหากระทำผิดพ.ร.บ อาวุธปืนฯ เท่านั้น และนายบารมีที่ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

วันนี้ ศาลเบิกตัว นายเล่าต๋า, นายวิจารณ์ และนายบารมี จากทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง กับนางอาส่าหม่า และนางรพีกาญจน์จากทัณฑสถานหญิงกลาง จำเลยทั้งหมดเพื่อฟังคำพิพากษา ซึ่งทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัว นับตั้งแต่วันที่ถูกจับกุมดำเนินคดีเดือน ตุลาคม 2559

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เดิมมีคำสั่งของ คณะคสช. ให้ดำเนินการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ตำรวจปราบปรามยาเสพติด สืบสวนพฤติกรรมของกลุ่มนายเล่าต๋า แสนลี่ โดยพยานโจทก์นำสืบว่านายเล่าต๋า แสนลี่และครอบครัวมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมีประวัติเคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติด จึงได้ส่งตำรวจหญิงเป็นสายลับปลอมตัวเป็นนักค้ายาและพูดภาษาจีนยูนนานได้ ทำติดต่อนางระพีกาญจน์ ให้ไปพบนายเล่าต๋าเพื่อติดต่อขอซื้อยาไอซ์ จำนวน 1 กิโลกรัม และต่อมาได้พบกับเล่าต๋า ที่ปั๊มน้ำมันของนายเล่าต๋าชื่อ “เล่าต๋า ปิโตรเลียม” ต.ตาคลอ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ แล้วตกซื้อขายยาไอซ์ในราคากิโลกรัมละ5.5 แสนบาท

แต่ในครั้งนั้นเจ้าพนักงานตำรวจยังไม่สามารถจับกุมกลุ่มจำเลยได้ จึงวางแผนให้สายลับทำการติดต่อซื้อขายยาไอซ์อีก จำนวน 20 กิโลกรัม ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก จึงต้องใช้สายลับปลอมตัวไปเป็นผู้ช่วยของนักค้ายาเสพติดแล้วจัดกำลังเจ้าหน้าที่ออกเป็นชุดๆ เช่นชุดคุ้มกันเงิน ชุดถ่ายภาพเหตุการณ์การเจรจาต่อรองทุกขั้นตอน ระหว่างนายเล่าต๋ากับสายลับ และนายเล่าต๋ากับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยา เพราะการซื้อขายแต่ครั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับเงิน จึงต้องรู้เห็นถึงรายละเอียดการซื้อขาย

ส่วนจำเลยที่ 3 ทำหน้าที่เป็นนายหน้าพาลูกค้ามาซื้อยาเสพติดจากนายเล่าต๋า โดยได้ค่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นลูกชาย และเป็นกำนัน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ได้พกพาอาวุธปืน คอยดูลาดเลา การซื้อขายยาเสพติดจำนวนมาก ทั้ง 2ครั้ง พร้อมกันนี้ได้มีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรชายคนเล็กคอยดูลาดเลาอย่างใกล้ชิด ลักษณะคอยระแวดระวัง

จำเลยที่ 1 และ 2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีว่า ตนเป็นเพียงคนกลางนำพาบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นสายลับ ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นนักค้าปุ๋ย และต้องการนำเสนอปุ๋ยมาขายให้นายเล่าต๋า ซึ่งมีสวนเป็นจำนวนมาก ส่วนจำเลยที่ 4 และ 5 ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีว่า พวกตนทำหน้าที่ดูแลกิจการปั้มน้ำมันตามปกติ ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด โดยจำเลยที่ 4 ยอมรับว่าพกพาอาวุธปืนจริง

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานบุคคลเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้มีการวางแผนการจับกุมอย่างเป็นขั้นตอน ประกอบกับมีพยานวัตถุเป็นภาพถ่ายแสดงถึงขั้นตอนการติดต่อซื้อขายยาเสพติดจำนวนมาก ประกอบกับจำเลยที่ 1และ 2 ให้การรับสารภาพ จึงฟังว่าจำเลยที่1และ 2 กระทำความผิดตามฟ้องจริง

ส่วนจำเลยที่ 3 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีพฤติกรรมเป็นนายหน้า ชักพาสายลับให้ไปพบนายเล่าต๋า เพื่อหาซื้อยาเสพติดถึง 2 ครั้ง แม้จำเลยที่ 3 จะต่อสู้ว่าเป็นการนำพามาเพื่อติดต่อซื้อขายปุ๋ยตามปกติ แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายเล่าต๋าซื้อขายปุ๋ยจำนวนมาก กับผู้ค้าปุ๋ยเจ้าประจำเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมาติดต่อซื้อปุ๋ยกับสายลับ และทำการนัดเจรจากันถึง 2 ครั้งพฤติการณ์ฟังได้ว่า กระทำผิดตามฟ้องจริง ส่วนจำเลยที่ 4 และ 5 ฟังว่าทำหน้าที่คอยระแวดระวัง ในการส่งมอบและรับเงินค่ายาเสพติดจำนวนมาก ทั้งไม่มีความเป็นที่จะต้องพกปืนในการทำกิจการปั้มน้ำมัน

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-5 กระทำผิดตามฟ้องทั้ง 2 กรรม ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ปรับ 5 ล้านบาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษจำคุกเหลือ 25 ปี เพียง 1 กรรม เเต่อีกกรรมให้จำคุกตลอดชีวิตเช่นเดิม รวมเเล้วคงจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 2.5 ล้านบาท เเก่จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 5 ล้าน รับสารภาพเหลือ 25 ปี ปรับ 2.5 ล้าน

ส่วนจำเลยที่ 3 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 5 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 4 ให้ประหารชีวิต และฐานพาอาวุธปืน ปรับ 1,000 บาท การที่จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐให้บวกโทษจำคุกอีก 3 เท่า เมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้ว จึงไม่อาจบวกโทษให้สูงไปกว่านี้ได้ ส่วนจำเลยที่ 5 ให้ประหารชีวิตสถานเดียว

หลังฟังคำพิพากษาจำเลยทั้งหมดแสดงความประสงค์ขออุทธรณ์คำพิพากษา และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวไปควบคุมต่อที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายเล่าต๋า แสนลี่ นั้นเคยได้รับการขนานนามว่า “ราชายาเสพติด” และถูกโยงว่าเป็นเลขาฯ คนสนิทของนายจาง ซี ฟู หรือขุนส่า ผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่แห่งสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งนายเลาต๋าเคยถูกปส.จับกุมเมื่อปี พ.ศ.2546 แต่ภายหลังศาลฎีกา มีคำตัดสินเมื่อปลายปี พ.ศ.2550 พิพากษายืนให้ยกฟ้อง ตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เนื่องจากพยานหลักฐานยังมีข้อพิรุธน่าสงสัย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน