กึกก้องโลก! ยูเอ็นประชุมถวายสดุดี “ในหลวง”
เผยพระบรมฯ ห่วงภาวะจิตใจ ของประชาชน รับสั่งดูแลให้ดี
โลกแซ่ซ้อง ถวายสดุดี “ในหลวง รัชกาลที่ 9″ สมัชชาสหประชาชาติเปิดประชุมวาระพิเศษถ่ายทอดสดแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพระบรมวงศานุวงศ์ และประชาชนไทยต่อการสูญเสียครั้งใหญ่หลวง พร้อมยืนแสดงความไว้อาลัย ก่อนที่ตัวแทนแต่ละทวีปขึ้นกล่าวสรรเสริญ เทิดพระเกียรติ ด้านเจ้าหน้าที่ในกองงานส่วนพระองค์ฯ เปิดเผย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงห่วงใยสภาวะจิตใจของพสกนิกรที่มาถวายสักการะ อาจมีอาการเศร้าหมองทางจิตใจ ส่งผลให้ความดันขึ้น อาจถึงขั้นเป็นลมล้มป่วย ทรงมีรับสั่งให้แผนกแพทย์ในพระองค์ฯ ตั้งเต็นท์คอยดูแลรักษาประชาชน
บำเพ็ญราชกุศล”ปัณรสมวาร”
เมื่อเวลา 06.56 น. วันที่ 28 ต.ค. สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการนี้ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารหน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร โดยมีพระพิธีธรรมจากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร สวดพระอภิธรรมรวม 8 รูป
จากนั้นเวลา 11.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสา ธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ถึงพระที่นั่งดุสิต มหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัณรสมวารพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะตุลาการ คณะสมาชิกสภานิติบัญญัติ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าฯ รับเสด็จ
จัดพร้อมเพรียงทั่วประเทศ
ในการนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย และเครื่องราชสักการะถวายบังคมพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร พระสงฆ์ 30 รูป ที่สวดพระพุทธมนต์แต่วันก่อน สวดถวายพรพระ จากนั้นทรงประเคนภัตตาหาร พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ทั้งนั้นสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา
จากนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ และทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ทั้งนั้นสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา แล้วทรงทอดผ้าไตรพระสงฆ์อีก 89 รูป เท่าพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา เสด็จพระราชดำเนินกลับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเวลาเดียวกับพระราชพิธีฯ ทั้งหลายหน่วยงานราชการในส่วนกลางกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่างจัดพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เช่นเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงทั่วประเทศ
มาแต่เช้ารอเข้าถวายสักการะ
ส่วนที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ทางสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าในเวลา 08.00 น. เพื่อถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และลงนามสมุดหลวงเพื่อแสดงความไว้อาลัย ซึ่งจะเปิดเป็นวันสุดท้าย เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. สำนักพระราชวัง จะเปิดให้ประชาชนเข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้ามีประชาชนพร้อมด้วยคณะต่างๆ จากทั่วทุกสารทิศแต่งกายด้วยชุดสีดำไว้ทุกข์ หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย โดยเดินเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีมาต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขณะที่ สำนักพระราชวังกางเต็นท์ไว้บริเวณหน้าศาลาสหทัยฯ เพื่อให้ประชาชนมีที่หลบแดดและฝน นอกจากนี้ยังมีหน่วยกู้ชีพ รวมถึงลูกเสือ เนตรนารี และอาสาสมัครมาร่วมดูแลผู้สูงอายุด้วย
ครอบครัวรัสเซียร่วมไว้อาลัย
นายโคลิค โรมัน อายุ 32 ปี ชาวรัสเซีย พร้อมภรรยาและลูกเดินทางมาถวายสักการะและแสดงความไว้อาลัย ร่วมกล่าวว่าครอบครัวพักผ่อน อยู่ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ทราบข่าวจากทางโทรทัศน์ว่าพระมหากษัตริย์ไทยเสด็จสวรรคต ได้เห็นคนไทยจำนวนมากเศร้าโศกเสียใจ และ เดินทางมาสักการะพระบรมศพ รู้สึกมหัศจรรย์ใจมากที่คนไทยรวมใจกันมาอย่างมากมาย และแสดงถึงความรักที่มีต่อพระองค์ จึงรู้สึกว่าก่อนเดินทางกลับรัสเซียจะต้องมาถวายสักการะพระบรมศพ และให้กำลังใจคนไทย
ส่วนนายสมศักดิ์ กองทองหลาง อายุ 61 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.โตนด อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ที่เดินเท้าออกจากบ้านมาตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. เป็นระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร เพื่อมาถวายสักการะ และเดินทางมาถึงพระบรมมหาราชวัง กล่าวว่าเป็นความตั้งใจที่อยากเดินมาถวายสักการะ ตลอดทางที่เดินทางมาก็มีมูลนิธิต่างๆ คอยอำนวยความสะดวก และมีประชาชนที่พบเห็นมอบน้ำและอาหารให้ ภูมิใจมากที่ได้มาถวายสักการะและลงนามแสดงความไว้อาลัย
ทรงห่วงใยจิตใจพสกนิกร
ขณะเดียวกัน ที่เต็นท์หน่วยทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามประตูมณีนพรัตน์ พระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอาหาร ผลไม้ ขนมหวาน และน้ำดื่ม ให้ข้าราชบริพารในกองงานส่วนพระองค์ และหน่วยทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ นำมาแจกจ่ายประชาชน สำหรับเมนูอาหารประจำวันที่ 28 ต.ค. ประกอบด้วยมื้อเช้า ข้าวเหนียวหมูปิ้ง และขนม ส่วนมื้อเที่ยง ข้าวเป็ดพะโล้ ก๋วยเตี๋ยวปลา และมื้อเย็น ผัดไทยศิริวรรณ และผัดไทยลาดพร้าว และในวันที่ 29 ต.ค. ซึ่งเป็นวันแรก ที่เปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท คาดว่าจะมีประชาชนเป็นจำนวนมาก จึงเพิ่มปริมาณอาหารให้มากขึ้น เพื่อให้เพียงพอกับประชาชน
เจ้าหน้าที่ในกองงานฯ เปิดเผยว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงห่วงใยในสภาวะจิตใจของพสกนิกรหลังจากที่ถวายสักการะพระบรมศพเสร็จแล้ว อาจมีสภาวะอาการเศร้าหมองทางจิตใจ ส่งผลให้ความดันขึ้น จนอาจถึงขั้นเป็นลมล้มป่วย พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้แผนกแพทย์ในพระองค์ฯ เข้าไปสมทบกับกองแพทย์หลวงอีกจำนวนหนึ่ง ด้วยการไปตั้งเต็นท์คอยดูแลรักษาประชาชนที่ล้มป่วย บริเวณประตูวิมานเทเวศร์ ตรงข้ามลานจอดรถกองพระราชพิธี
หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการ
ขณะที่เต็นท์มูลนิธิ 5 ธันวามหาราช โซนเหนือ เต็นท์ที่ 11 ฝั่งตรงข้ามศาลฎีกาเจ้าหน้าที่มูลนิธิ 5 ธันวามหาราช เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยแพทย์เคลื่อนที่จาก ร.พ.จุฬาภรณ์ มาให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน โดยตรวจอาการเบื้องต้น ได้แก่ อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ ปวดเมื่อย เป็นต้น ซึ่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่นี้จะให้บริการทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ โดยเฉพาะวันที่ 29 ต.ค. ที่คาดว่าจะมีพสกนิกรเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพเป็นจำนวนมาก อาจเสริมกำลังเพิ่มหน่วยแพทย์จาก ร.พ.วิชัยยุทธ เพื่อให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมายังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่นำอาหารและเครื่องดื่มพระราชทานมาแจกแก่พสกนิกรที่มาร่วมแสดงความไว้อาลัยอีกด้วย ประกอบด้วยอาหาร 3 มื้อ ได้แก่ เวลา 09.00 น.,12.00 น. และ 16.00 น. อาทิ ข้าวหมูทอดกระเทียม ทอดมันปลากราย และน้ำผลไม้กล่องพร้อมดื่ม
ธรรมศาสตร์แปรอักษรถวาย
ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมจัดกิจกรรมชาวธรรมศาสตร์ขอ เป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เเละแสดงความไว้อาลัย โดยเฉพาะกิจกรรมเเปร อักษรครั้งประวัติศาสตร์ ชุด “ทรงเป็นดวงธรรมนำทางให้” โดยมีศิษย์เก่า นักศึกษาปัจจุบัน และประชาชนผู้สนใจร่วมแปรอักษรทั้งหมด 2,000 คน แปรเป็นภาพอักษรเคลื่อนไหว และภาพพระราชกรณียกิจ
นายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ ประธานจัดงาน กล่าวว่า เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความไว้อาลัย และแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที นอกจากนี้ยังจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัคร โวลุนเทียร์ ฟอร์ แด๊ด โดยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งมีบริการทางการแพทย์จาก ร.พ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และแจกอาหารต่อเนื่องตลอด 100 วัน หน้า ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
“พระองค์โสมฯ”ทรงเพิ่มเมนูอาหาร
จากนั้นเวลา 14.30 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ในฐานะองค์นายกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เสด็จมายังรถเคลื่อนที่ของมูลนิธิ บริเวณหน้ากรมศิลปากร เพื่อทรงทอดไก่ประทานให้แก่พสกนิกรที่มาลงนามแสดงความไว้อาลัย โดยมีพสกนิกรมาเฝ้ารับเสด็จอย่างใกล้ชิด และก่อนจะทรงทอดไก่ มีรับสั่งขอบใจลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาดที่มาเป็น จิตอาสาเข็นรถเข็นบริการผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มาแสดงความไว้อาลัย
ศ.เกียรติคุณ นพ.ดำรง เหรียญประยูร รองประธานมูลนิธิ กล่าวว่า พระองค์โสมฯ ทรงห่วงใยพสกนิกรที่มาลงนามแสดงความไว้อาลัย แต่ละวันมีจำนวนมาก ผู้ที่มีฐานะยากจนอาจจะมีความลำบากในการซื้อหาอาหาร ดังนั้น จึงทรงให้ผู้แทนพระองค์นำข้าวเหนียวไก่ทอด, ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน, ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ และข้าวมันไก่ มาแจกจ่ายให้ประชาชน
“ทูตจีน”จิตอาสาร่วมแจกอาหาร
ต่อมาเวลา 15.00 น. นายเหงียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิต มหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และต่อมาเวลา 15.22 น. นายราตู เอเปลิ ไนลาติเกา อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐฟิจิ เข้าถวายสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
ถัดมาเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะ และลงนามแสดงความไว้อาลัยที่ศาลาสหทัยสมาคม โดยมีจำนวนประชาชนเข้าถวายสักการะในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ทั้งสิ้น 44,143 คน รวม 14 วัน เป็นจำนวน 475,209 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศล จำนวน 1,531,038 บาท รวม 15 วัน เป็นเงิน 11,465,297.25 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า นอกจากนี้ที่บริเวณเต็นท์ของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าฯ กทม. ต้อนรับนายหนิง ฟู่ขุย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย และภริยาที่มาเดินทางมาร่วมแจกอาหารฟรี ให้ประชาชน
ตรวจ”พระมหาพิชัยราชรถ”
ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงราชรถ ราชยาน และพระมหาพิชัยราชรถ ว่าหลังจากกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมโรงราชรถ พบว่ามีประชาชนสนใจเข้าชมจำนวนมาก กรมศิลปากรตรวจสภาพการใช้งานของพระมหาพิชัยราชรถ พระเวชยันตราชรถ ราชรถน้อย 3 พระองค์ และพระยานมาศสามลำคาน 2 พระองค์ การบูรณปฏิสังขรณ์คืบหน้าไปมาก โดยจะต้องปรับปรุง และลงรักปิดทองราชรถใหม่บางส่วน เมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้ว จะทดสอบระบบการขับเคลื่อน คาดว่าจะใช้เวลาบูรณปฏิสังขรณ์ไม่เกิน 1 ปี
พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวต่อว่า ส่วนการจัดสร้างพระเมรุมาศ พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบนั้น จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม แต่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ขณะนี้สั่งการให้นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม ติดตามความคืบหน้าทุกขั้นตอน รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประสานงานกับช่างพื้นบ้านที่มีความสามารถทั่วประเทศเข้ามาร่วมด้วย คาดว่าการก่อสร้างพระเมรุมาศ ต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี ใช้พื้นที่มากกว่าครึ่งของสนามหลวง เพื่อรองรับจำนวนคนให้ได้มากขึ้น ทั้งแขกบ้านแขกเมือง และประชาชนได้ร่วมพระราชพิธีอย่างเหมาะสม และสมพระเกียรติ
“พระเทพฯ”เสด็จฯราชพิธีค่ำ
เมื่อเวลา 19.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พร้อมด้วยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวด พระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี พระพิธีธรรมจากวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร และวัดบวรนิเวศวิหาร สวดพระอภิธรรม รวม 8 รูป
นายกฯซาบซึ้งมิตรประเทศ
เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน” ระบุตอนหนึ่งว่า ในนามของนายกฯ และปวงชนชาวไทยทุกคน พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้ง เป็นอย่างสูง ที่ประมุขและผู้นำประเทศ รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ ร่วมแสดงความไว้อาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยการลงนามแสดงความไว้อาลัย ยืนสงบนิ่งไว้อาลัย และลดธงครึ่งเสา
นายกฯ กล่าวว่าการแสดงออกดังกล่าว นอกจากแสดงถึงความเข้าใจ และเห็นใจความรู้สึกของประชาชนชาวไทยต่อการจากไปของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นที่เคารพรักยิ่งของพสกนิกรไทย ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงการยกย่องในพระราชกรณียกิจที่ทรงทุ่มเทเพื่อประเทศชาติและประชาชนมาเป็นเวลา 70 ปี รวมทั้งการยอมรับในหลักการทรงงาน และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อมวลมนุษยชาติ
ขอบคุณประชาชนทุกหมู่เหล่า
“ขอขอบคุณและขอชื่นชมประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ที่ร่วมกันรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ และแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย ด้วยการร่วมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ณ ท้องสนามหลวง และการทำดีเพื่อพ่อ ทำหน้าที่จิตอาสา แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว แต่ศาสตร์พระราชา ยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทย รวมทั้งแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระราชทานไว้กว่า 40 ปี เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยนำไปเป็นแนวทางการพัฒนาตนเองและครอบครัว” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าขอขอบคุณศูนย์คุณธรรมภายใต้กำกับของกระทรวงวัฒนธรรม ที่จัดทำหนังสือ “เทิด ๙ ปกเกศ” โดยรวบรวมพระราชดำรัส และพระบรมราโชวาท ด้านคุณธรรม 5 ประการ ได้แก่ ซื่อตรง วินัย รับผิดชอบ จิตอาสา และพอเพียง สำหรับคนไทยได้รับรู้และน้อมนำคติคำสอนของพ่อหลวง ซึ่งเป็นคุณธรรมอันประเสริฐไปปฏิบัติ นับเป็นการแสดงความจงรักภักดี ด้วยการปฏิบัติบูชาเพื่อการสืบทอดให้สิ่งดีงามธำรงอยู่ในสังคมไทยอย่างมั่นคงสืบไป
“เชียงใหม่-สุราษฎร์”แปรอักษร
วันเดียวกัน ที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ ผู้บริหาร สมาคมศิษย์เก่า ครู บุคลากร ตลอดจนนักเรียนกว่า 3,000 คน ร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และกราบถวายบังคมเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ จากนั้นนักเรียน 1,200 คน สวมเสื้อสีดำร่วมแปรอักษรเป็นรูปหัวใจ มีเลข 9 ไทยอยู่ตรงกลาง และข้อความ “ยุพราช สพม 34 รักพ่อ” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และยืนสงบนิ่ง 89 วินาที
ส่วนที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายศุภวัชร ศักดา รอง ผวจ.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นักเรียนนักศึกษา และประชาชนกว่า 10,000 คน แต่งกายชุดไว้ทุกข์ แล้วร่วมกันแปรขบวนเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย โดยมีคำว่า “พ่อ” อยู่ตรงกลาง และ “SURAT” อยู่ด้านข้าง ตอนล่างของประเทศไทย พร้อมร่วมประสานเสียงขับร้องเพลงประจำจังหวัด และเพลงสรรเสริญพระบารมีอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ยูเอ็นสดุดี”ในหลวง”รัชกาลที่ 9
ค่ำวันเดียวกัน เวลา 21.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (ยูเอ็น) อาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ประชุมวาระพิเศษเพื่อถวายสดุดีและเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
นายปีเตอร์ ธอมสัน ประธานสมัชชายูเอ็น กล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ต.ค.2559 สหประชาชาติขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพระบรมวงศานุวงศ์และชาวไทย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองราชย์ยาวนาน ที่สุดในโลกถึง 70 ปี ทรงเป็นที่รักของ ผู้คนมากมาย เพราะการทรงงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โครงการตามพระราชดำริต่างๆ มากมาย ที่พัฒนาทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ทรงเป็นศูนย์กลางทำให้เกิดเอกภาพทั้งในไทยและในภูมิภาค สหประชาชาติเคยทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ เมื่อเดือน พ.ค.2549 ทุกคนจะจดจำพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
ผู้เข้าร่วมประชุมยืนไว้อาลัย
จากนั้นนายธอมสันขอให้ที่ประชุมยืนแสดงความไว้อาลัย และต่อมา นายบัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวเป็นลำดับ ต่อไปว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงครองราชย์นานที่สุดในโลกถึง 70 ปี ทรงเป็นที่รักและเคารพนับถือทั่วโลก ทรงนำประเทศไทยผ่านปัญหาต่างๆ มากมาย โดยนายบัน คีมุน ยังกล่าวถึงเมื่อครั้งมีโอกาส เข้าเฝ้าฯ ในปี 2550 นายบัน คีมุน ยังกล่าวด้วยว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก ที่ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ ของสหประชาชาติ
ต่อมาผู้แทนจากภูมิภาคแอฟริกา ขึ้นกล่าวแสดงความไว้อาลัยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นเสาหลักแห่งความเป็นเอกภาพของประเทศ ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อประเทศ ทั้งด้านสังคม และเศรษฐกิจ เห็นได้จากโครงการตาม พระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ ตั้งแต่ด้านชลประทานไปถึงด้านสาธารณสุข ทรงมี พระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และสามารถนำไปปรับใช้ได้ทั่วโลก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา และจะทรงเป็นแรงบันดาลใจ ให้ชาวไทยและชาวโลกในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ทรงทำงานตลอดพระชนม์ชีพ
นายมันซูร์ ไอย์ยาด อัล-โอเทบี จากประเทศคูเวต ในฐานะตัวแทนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสร้างเอกภาพของประเทศในช่วงเวลาต่างๆ ทรงได้รับการเทิดทูนตลอดรัชสมัย และประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเจริญในภูมิภาค การทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทำให้พระองค์ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของชาวไทย
ต่อมา นายแมตธิว ไรครอฟต์ ผู้แทนสหราชอาณาจักรประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า ทรงนำประเทศไทยตลอดรัชสมัยด้วย พระวิสัยทัศน์ ทรงขึ้นครองราชย์ในขณะที่สหประชาชาติเพิ่งก่อตั้งได้เพียง 1 ปี และประเทศไทยได้เป็นสมาชิกลำดับที่ 55 ของสหประชาชาติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการจดจำในฐานะที่ทรงทำงานเพื่อประชาชน พระองค์เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ทรงเป็นศิลปิน พระราชนิพนธ์บทเพลงต่างๆ มากมาย และทรงเป็นสัญลักษณ์ในการสร้างเสถียรภาพ
ยกย่อง”โครงการแก้มลิง”
นางซาแมนธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำสหประชาชาติ กล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นมิตรที่ยาวนานกับสหรัฐอเมริกา เพราะเสด็จพระราชสมภพที่สหรัฐอเมริกา และเคยประทับที่สหรัฐอเมริกา ตลอดรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยียนประชาชน ไปเยี่ยมคนยากจน คนรากหญ้า มีโครงการพระราชดำริหลายพันโครงการ
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำสหประชาชาติ ยังยกตัวอย่างโครงการแก้มลิงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีที่มาจากการกินกล้วยของลิง แล้วลิงจะเก็บกล้วยไว้ในแก้ม เป็นที่มาของโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
ผู้แทนไทยขอบคุณ-ซาบซึ้ง
จากนั้นนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก กล่าวว่าขอแสดงความขอบคุณที่สหประชาชาติจัดประชุม เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และขอแสดงความซาบซึ้งในข้อความแสดงความเสียใจของนานาประเทศ
นายวีรชัยกล่าวต่อว่า พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างนำทางประเทศ เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน เป็นเสาหลักทำให้เกิดเอกภาพในประเทศ ทรงมีพระวิสัยทัศน์ในการพัฒนามนุษย์ จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นที่มาของโครงการต่างๆ ในการปรับปรุงชีวิตของประชาชน การรักษาสิ่งแวดล้อม ทรงนำประเทศไทยที่เป็นประเทศด้อยพัฒนาในตอนนั้น มาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ช่วงทศวรรษ 1960 ทรงเริ่มทดลองปลูกพืชทดแทน เพื่อแก้ปัญหายาเสพติด แนวคิดนี้ ถูกใช้เป็นแนวทางในการยกเลิกการปลูกฝิ่นในหลายพื้นที่ทั่วโลก หน่วยงานของสห ประชาชาติยอมรับพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์นักพัฒนา และประเทศไทยภูมิใจที่จะได้แบ่งปันปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับประเทศอื่นๆ