ราคาเบนซินทุกประเภทลด เริ่ม 7 พ.ย.-66-31 ม.ค.ปีหน้า โซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน-โซฮอล์ 95 ลดลง 1 บาท E20 และ E85 ลดลงประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร

วันที่ 2 พ.ย.2566 นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ลง 2.50 บาทต่อลิตร และยังลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ลง เรื่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.2566-31 ม.ค.2567 ตามอัตราภาษีสรรพสามิตที่เปลี่ยนแปลงตามแนวนโยบายของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2566 เรื่อง มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชน โดยการปรับลดอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซินลง 0.15-1 บาทต่อลิตร ตามสัดส่วนเนื้อน้ำมันเบนซินที่ผสม ส่งผ่านให้ไปถึงการลดราคาขายปลีกให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ลงมากกว่าอัตราภาษีน้ำมันที่สรรพสามิตที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชนในช่วงวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลดลงประมาณ 1 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ลดลงประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร

ปัจจุบัน ณ วันที่ 29 ต.ค.2566 ฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ติดลบ 74,292 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 28,938 ล้านบาท บัญชีก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ติดลบ 45,354 ล้านบาท แม้ฐานะเงินกองทุนจะยังคงติดลบ แต่สถานะของกองทุนมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นหลังจากได้เงินกู้ยืมเข้ามาเติมในระบบ แต่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีความผันผวนด้วยปัจจัยกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก และความกังวลในเศรษฐกิจที่ยังคงถดถอย ตลอดจนความไม่สงบจากการสู้รบ ทำให้สภาพคล่องของกองทุนยังมีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย

อย่างไรก็ตาม การลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภทในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่เป็นไปตามมติ ครม.ที่ต้องการจะช่วยเหลือประชาชนด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานได้ช่วยเหลือประชาชน ทั้งการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร รวมทั้งการลดค่าไฟให้เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย

ทั้งนี้ อยากขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการ เตรียมน้ำมันแต่ละชนิดให้เพียงพอกับความต้องการ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ รวมทั้งขอให้ประชาชนตรวจสอบการเติมน้ำมันให้เหมาะสมกับรถยนต์ที่ใช้ โดยดูได้จากฝาช่องเติมน้ำมัน คู่มือการใช้รถยนต์ หรือสอบถามที่ศูนย์บริการ เพราะหากเติมผิดประเภทอาจทำให้เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน