มึงทำอะไรลงไป ฆ่าทำไม เมียร่ำไห้ใจสลายเหมือนเรียกมาให้ผัวฆ่า รวบแล้ว เขยคลั่งฆ่า2ศพย่า สารภาพเสียใจฆ่าผู้มีพระคุณทั้งสอง

น้ำมันรถหมดไปไหนไม่ได้ เงินไม่มี เจอด่านสกัดจึงขับรถวนเวียนหาทางหนีแอบนอนบ้านร้างใกล้โรงทำน้ำแข็ง ห่างจากจุดเกิดเหตุแค่ 15 กิโลเมตร รับสารภาพทุกข้อกล่าวหาพาชี้จุดโยนมีดทิ้ง เมียใจสลายเหมือนเรียกย่ามาให้ผัวฆ่า

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวหนองบัวลำภูรายงานว่าช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ได้รับเบาะแสจากพนักงานในโรงงานทำน้ำแข็งว่า พบชายต้องสงสัย พร้อมส่งภาพที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดของโรงงานทำน้ำแข็ง

จากมุมสูงเห็นรูปร่างชายคนหนึ่งนุ่งกางเกงขาสั้นสีดำไม่สวมเสื้อคล้ายกับบุคคลที่เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เดินวนเวียนอยู่ในพื้นที่ใกล้โรงทำน้ำแข็งในหมู่บ้าน ห่างจากจุดเกิดเหตุหลานเขยฆ่าญาติของเมีย 2 ศพ บาดเจ็บ 2 ราย ถนนสายเส้นทางอำเภอศรีบุญเรืองไปอำเภอสีชมพูจังหวัดขอนแก่นบริเวณเขตตำบลนากอก

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำภาพที่ได้รับจากพลเมืองดีส่งมาให้นางฉันทนา หรือ น้ำ ว่าใช่เป็นภาพของนายวทัญญู หรือ บอล สามีหรือไม่ เมื่อได้รับคำยืนยันจากนางสาวฉันทนา เจ้าหน้าที่ก็เดินทางไปที่โรงงานทำน้ำแข็งตามที่ได้รับแจ้ง

นายวทัญญู ยอมให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวโดยไม่มีอาการขัดขืน เจ้าหน้าที่ได้อ่านหมายจับของศาลจังหวัดหนองบัวลำภูให้ฟัง นายวทัญญูยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง และนำเจ้าหน้าที่ไปชี้จุดที่เก็บรถจักรยานยนต์คันที่ชิงมาจากชาวบ้าน

และพาไปชี้จุดที่โยนทิ้งอาวุธมีดเล่มที่ใช้ก่อเหตุซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่นายวทัญญูมาหลบซ่อนประมาณ 100 เมตร จากนั้นจึงควบคุมตัวมาสอบสวนดำเนินคดีที่ สภ.ศรีบุญเรือง

นายวทัญญู ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังพอสรุปว่า หลังจากที่ตนทะเลาะกับนางสาวฉันทนาหรือน้ำ ภรรยาเมื่อวานนี้เมื่อนางกุหลาบผู้เป็นย่าของน้องน้ำมาถึงรู้ว่าหลานสาวของตนทะเลาะกับสามี จึงบอกให้เลิกกัน พร้อมบอกว่าจะให้จับแยกกัน

โดยให้นางสาวฉันทนาไปทำงานที่อื่น ตนรู้สึกโมโหจึงใช้มีดฟันไปที่ญาติจนเสียชีวิต จากนั้นจึงขับรถจักรยานยนต์ที่ใช้มีดจี้มาจากร้านอาหารแห่งหนึ่งขับวนเวียนไปตามเส้นทางในหมู่บ้าน

จนกระทั่งรถมันน้ำมันหมดลงที่ใกล้บริเวณโรงงานน้ำแข็งไปตามเส้นทางในหมู่บ้าน เลยแอบมาหลบซ่อนหลับนอนอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว นายวทัญญูยังอ้างว่าตัดสินใจยอมมอบตัวตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว หลังก่อเหตุแต่ไม่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ เนื่องจากตนเองไม่มีโทรศัพท์เมื่อเช้านี้ก็เดินวนเวียนลัดเลาะอยู่บริเวณใกล้เคียงนี้เพื่อจะให้มีคนเห็น

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกอย่างไรกับการกระทำของตนเองในครั้งนี้ นายวทัญญูบอกว่ารู้สึกเสียใจที่ทำลงไป และยังยอมรับว่าผู้ตายทั้งสองคนเคยมีบุญคุณกับตนมาก่อน ทั้งยังยอมรับว่าตนเองเคยทำร้ายนางสาวฉันทนาหรือน้ำมาหลายครั้งแล้วเมื่อทะเลาะกัน แต่ตนก็ไม่เคยคิดจะเลิกรากับนางสาวฉันทนาแต่อย่างใด

เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่าแล้วใครบ้างจะยอมให้ญาติของตัวเองถูกทุบตีทำร้ายอยู่บ่อยๆ นายวทัญญูก็แย้งว่าแต่พักหลังตนไม่ได้ทำร้ายภรรยาแล้วนะ แล้วทำไมยังจะมาบอกว่าจะเอาหลานหนีไม่อยากให้อยู่ด้วยกันอีก ตนจึงยิ่งโมโหยิ่งขึ้น จากนั้นนายวทัญญูก็รับประทานอาหารที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดหามาให้เห็น เนื่องจากไม่ได้ทานอะไรเลยมาตั้งแต่เมื่อวานนี้

นางสาวฉันทนาหรือน้ำ ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า รู้สึกเสียใจที่ตนเป็นสาเหตุให้ย่าและอาต้องเสียชีวิตในครั้งนี้ เพราะรู้สึกเหมือนตนเองที่เป็นคนโทรศัพท์ไปเรียกย่ามาตาย

นางสาวฉันทนาเปิดเผยว่า จริงๆแล้วนายวทัญญูอายุไล่เลี่ยกับตนแก่อ่อนกว่ากันแค่หนึ่งปีไม่ใช่อายุ 35 เหมือนที่เป็นข่าวพร้อมเล่าว่าได้รู้จักกับนายวทัญญูเมื่อครั้งที่ตนเลิกกับสามีคนก่อน แล้วไปทำงานที่กรุงเทพฯ

โดยรู้จักกันผ่านแอพฯ หาคู่ขณะที่ตอนนั้นนายวทัญญูใกล้จะปลดประจำการทหาร หลังจากนั้นก็อยู่กินกันมาโดยตลอด และรู้ว่านายวทัญญูเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวโมโหง่ายตนถูกทำร้ายอยู่บ่อยๆ

หลังจากนี้ไปก็จะเลิกรากันโดยเด็ดขาด เพราะทำใจไม่ได้ที่นายวทัญญูมาฆ่าย่าของตน ที่เลี้ยงดูตนมาเหมือนลูกในไส้ตั้งแต่ตัวเล็กๆ เมื่อพ่อกับแม่แยกทางกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปควบคุมตัวนายวทัญญู นางสาวฉันทนาก็ติดตามไปดูอยู่ห่างๆ จนกระทั่งเมื่อเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายวทัญญูขึ้นรถ นางสาวฉันทนาได้ใช้มือตบที่กระจกตรงบริเวณที่นายวทัญญูนั่งอยู่ พร้อมกับร้องไห้

ต่อมาภายหลังชุดที่ควบคุมตัวนายวทัญญูมาถึงสถานีตำรวจ นางสาวฉันทนาได้เข้าไปสอบถามนายวทัญญูในห้องสืบสวนว่า “มึงทำอะไรลงไปมึงรู้หรือไม่ แล้วตอนนี้กูจะอยู่กับใครเมื่อแม่กูตาย” (ซึ่งหมายถึงย่าเพราะนางสาวฉันทนาไม่เคยเรียกย่ามักจะเรียกว่าแม่บ้างยายบ้าง) นายวทัญญูก็ไม่ตอบ แต่มีอาการน้ำตาไหล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน