จนมุมเพราะข้อความนี้ สารวัตรแจ๊ะ นำทีมบุกจับคาเตียง “มีนพระราม3” ปลอมเป็น โมเดลลิ่ง ลวงเด็กเอ็นฯ ย่ำยีรุนแรง-ฉกเงินสดเกลี้ยง สาวตกเป็นเหยื่อกว่า 50 คน

วันที่ 9 พ.ค.2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น. และ พ.ต.ต.วศิน อินทร์แก้วสว.ฝอ.บก.สส.บช.น. ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบนครบาล

จับกุมตัว นายกิตติกร (ขอสงวนนามสกุล) หรือ มีนพระราม3 อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.447/2567 ลงวันที่ 7 พ.ค. 2567 ข้อหา “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม” จับกุมได้ที่ ห้องพักเลขที่ 59/9 หอพักแห่งหนึ่ง ต.สะเดียง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา

จนมุมเพราะข้อความนี้ สารวัตรแจ๊ะ นำทีมบุกจับคาเตียง "มีนพระราม3" ปลอมเป็น โมเดลลิ่ง ลวงเด็กเอ็นฯ ย่ำยีรุนแรง-ฉกเงินสดเกลี้ยง

จนมุมเพราะข้อความนี้ สารวัตรแจ๊ะ นำทีมบุกจับคาเตียง “มีนพระราม3” ปลอมเป็น โมเดลลิ่ง ลวงเด็กเอ็นฯ ย่ำยีรุนแรง-ฉกเงินสดเกลี้ยง

สืบเนื่องจาก “โมเก๊-ทรงเอ” ฉายาของ “บังมีนพระราม3” วายร้ายที่กำลังเขย่าวงการสาวกลางคืน เพราะก่อเหตุในพื้นที่นครบาลมาไม่ต่ำกว่า 3 ปีแล้ว โดยแผนประทุษกรรมเริ่มจากการแฝงตัวอยู่ในกลุ่มไลน์ของเด็กเอ็น

จากนั้นจะปลอมตัวเป็นโมเดลลิ่งสาวทำทีทักไปหาสาวเอนเตอร์เทนโดยพุ่งเป้าไปที่สาวรูปพรรณ หน้าอกใหญ่ และกำลังประกาศหางานภายในกลุ่ม จากนั้นจะเริ่มสนทนาแบบทรงเจ๊ ทำทีชักชวนโปรโมตว่ามีลูกค้ารวยสนใจ หว่านล้อมจนทำให้สาวเอนเตอร์เทนเข้าใจว่าตัวเองโชคดีที่จะได้เจอลูกค้ารายนี้

เมื่อเหยื่อหลงกลตกลงรับงานจากคนร้ายแล้ว มักจะนัดหมายเหยื่อไปย่าน “พระราม3” ก่อนจะเจอกันคนร้ายจะให้เหยื่อสาวไปถอนเงินในบัญชีมาเป็นเงินสดให้หมด โดยใช้อุบายว่าได้เดิมพันกับเพื่อนไว้ ว่าเด็กเอนเตอร์เทนวันนี้พกเงินสดมาเท่าไหร่ ถ้าใครทายถูกก็จะได้เงินจากการเดิมพัน หากชนะพนันจะนำเงินที่ชนะพนันมาแบ่งให้กับเหยื่อสาว

เมื่อเหยื่อถอนเงินสดแล้วเดินทางมาถึงจุดนัดพบ คนร้ายจะเปลี่ยนจากโมเดลลิ่งในแชทไลน์มาปลอมตัวเป็น “ลูกค้า” ทำทีโอ้อวดว่าเป็นเสี่ยก่อน คนร้ายจะเดินเกมต่อโดยใช้เทคนิค “ไม่จ่ายเงินก่อน” จนกว่าจะเสร็จงานเป็นการรั้งเหยื่อไว้ หากเหยื่อรายใดท้วงติง คนร้ายจะเกทับด้วยการคุยโวว่าจะจ่ายเงินเพิ่ม

ซึ่งบางรายถูกบังคับให้สไลด์หนอนให้คนร้ายตลอดทางไปที่พัก ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการเผด็จศึก โดยที่เหยื่อจะถูกกระทำอย่างรุนแรงมาก และกระทำเป็นจำนวนหลายครั้ง บางรายทนไม่ไหวก็จะถูกข่มขู่ว่ามีอาวุธปืนทำให้เหยื่อกลัวและจำยอม แล้วท้ายสุดยังแอบฉกเงินสดในกระเป๋าของเหยื่อก่อนจะหนีหายไป

บางรายถูกลวงให้ไปซื้อของ บางรายถูกลวงไปปล่อยทิ้งข้างทาง ปล่อยเหยื่อรอเก้อแล้วหายตัว เหยื่อบางรายเกือบคิดสั้นเพราะเงินสดที่ถูกขโมยไปแทบจะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของเหยื่อ

ที่น่าตกใจคือเมื่อสาวเอ็นได้มีการสำรวจกันในวงการจนทราบว่ามีคนตกเป็นเหยื่อมาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ราย แต่เกือบทั้งหมดไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดีเพราะอับอาย ถูกข่มขู่ว่าจะปล่อยคลิปลับ ได้แต่พากันสาปแช่งเท่านั้น

ล่าสุดมีเหยื่อสาว 2 ราย ได้ขอความช่วยเหลือเพจสายไหมต้องรอด โดยได้พาผู้เสียหายเข้าแจ้งความดำเนินคดี เข้าสู่กระบวนการสอบสวน กระทั่งตอนนี้ออกหมายจับ นายกิตติกร หรือ โดย พล.ต.ต.ธีรเดช ส่งชุด พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น. หรือ สารวัตรแจ๊ะ ไล่ล่าติดตามตัว

โดยทราบเบาะแสว่า ปัจจุบันคนร้ายไปอยู่ในกลุ่มแก๊งใหญ่ย่านพระราม 3 ชุดสืบสวนแกะรอยจนทราบว่าแหล่งมั่วสุมคือ ร้านขายขนมภายในซอยเจริญราษฎร์ 7 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ แต่เป็นเพียงฉากหน้า เพราะหลังร้านเป็นแหล่งผลิตน้ำกระท่อมขาย

หลังชุดสืบสวนซุ่มดูอยู่ 10 ชั่วโมง จึงนำกำลังบุกเข้าไปตรวจสอบภายในร้าน พบอุปกรณ์การผลิตและน้ำกระท่อมสำเร็จรูปจำนวนมาก แต่ไม่พบตัวคนร้าย พวกของคนร้ายในร้านแจ้งว่าพึ่งจะหลบหนีไปที่ จ.นนทบุรี และขณะเดียวกันคนร้ายทราบว่าชุดสืบสวนได้บุกมาที่นี่

คนร้ายได้ส่งข้อความไลน์มาว่า “เดี๋ยวไปมอบเอง ไม่ต้องหา จ้งแจ๊ะไรก็หากูไม่เจอหรอก” พร้อมส่งภาพอาวุธปืนลูกโม่ ท้าทายเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน คนร้ายได้วางแผนปล่อยข่าวว่า ตนเองอยู่ที่ จ.นนทบุรี แต่ชุดสืบสวนวิเคราะห์พฤติกรรมออกว่าเป็นกับดักลวง “ผมมีพวกอยู่เพชรบูรณ์” ประโยคสั้น ๆ ที่ผู้เสียหายเคยได้ยินจากคนร้ายสะกิดใจนักสืบขึ้นมา

แม้เป็นเพียงเบาะแสที่เบาบางแต่เป็นเบาะแสเดียวที่มี ชุดสืบสวนจึงเดินทางไป จ.เพชรบูรณ์ กว่า 6 ชั่วโมง จนได้เบาะแสจากชายขายใบกระท่อมคนหนึ่งในตัวเมือง จ.เพชรบูรณ์ ว่าพบชายหน้าแปลกมาซื้อใบกระท่อมกับกลุ่มเด็กแสบ ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ไม่มีทางอื่นให้เดินแล้ว

จนกระทั่งช่วงดึกชุดสืบสวนได้พบกับกลุ่มเด็กซ่องสุมดื่มน้ำกระท่อมกันอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งใกล้ ๆ ตัวเมือง และพบคนร้ายสุมหัวอยู่ด้วย กว่า 40 ชั่วโมง รอจนกระทั่งเช้าบุกเข้าไปรวบตัวคนร้ายรายนี้ได้สำเร็จ โดยไม่เกิดความสูญเสียใด ๆ

จากการสอบสวน นายกิตติกร ให้การภาคเสธว่า ตนเคยเป็นระดับหัวจ่าย เคยถูกดำเนินคดีในคดีจำหน่ายยาเสพติดฯ เมื่อปี พ.ศ. 2559 หลังจากพ้นโทษเมื่อปี พ.ศ. 2562 ได้หาเลี้ยงชีพด้วยการขับรถรับจ้างและเป็นไรเดอร์รับส่งอาหาร โดยใช้บัญชีเพื่อนสนิทของตนในการทำงาน

นายกิตติกร ให้การต่อว่า ระหว่างที่ทำงานรับจ้าง มีโอกาสทำงานให้กับ นางเอ (นามสมมติ) โดยที่นางเอเป็นโมเดลลิ่งรับจัดหาเด็กเอ็น ช่วงนี้เองที่ตนได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานด้านโมเดลลิ่งและทำงานร่วมกับนางเอเป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่งมีความรู้ความชำนาญในงานดังกล่าว

นายกิตติกร ให้การอีกว่า ตนจึงใช้อุบายแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มไลน์เพื่อปลอมตัวเป็นโมเดลลิ่งรับจัดหาเด็กเอนเตอร์เทนเพื่อไปดูแลลูกค้าในงานต่าง ๆ และอ้างตัวว่าตนเป็นสาวประเภทสองที่ทำงานในด้านนี้มานาน และทำทีพูดคุยว่าจะพาไปหาลูกค้าทำให้เด็กเอ็นฯ หลงเชื่อ

นายกิตติกร ให้การด้วยว่า ภายหลังจากติดต่อพูดคุยรายละเอียดงานกับเด็กเอ็นฯในฐานะโมเดลลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนก็จะใช้บัญชีไลน์อีกบัญชีหนึ่งแอบอ้างตัวเป็นลูกค้าเพื่อนัดเจอกับเด็กเอ็นฯเสียเอง โดยแฝงตัวเป็นโมเดลลิ่งและทำลักษณะดังกล่าวกับเด็กเอ็นฯหลายราย โดยมีบางรายที่ตนเบี้ยวไม่ชำระค่าบริการให้ ทำเช่นนี้มาประมาณ 8 คน แต่ไม่ได้มีการขโมยเงิน หรือการข่มขืนตามที่เป็นข่าว

ผู้ต้องหา ให้การว่า และในวันที่ 5 พ.ค. 2567 ตนทราบข่าวจากเพื่อนในกลุ่มว่า มีภาพของตนออกรายการทีวีหลายรายการ โดยรายละเอียดข่าวแจ้งว่าตนลักทรัพย์ผู้เสียหายและหลอกผู้เสียหายไปข่มขืนเป็น 100 ราย หลังทราบข่าวตนอยู่ในอาการหวาดกลัวและตกใจเพราะตนไม่ได้กระทำดังเช่นข่าวกล่าวอ้าง

ผู้ต้องหา ให้การต่อว่า จนวันที่ 7 พ.ค. 2567 ตนได้หอบเงินและหนีไปอาศัยอยู่กับญาติที่ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อหาทางสู้คดี ต่อมาวันที่ 7 พ.ค. ช่วงเวลากลางคืน ตนได้รับทราบจากร้านน้ำกระท่อมว่าตำรวจจากสืบนครบาล ชื่อสารวัตรแจ๊ะ มาบุกที่ร้าน ตนได้โทรไลน์ไปหาคนในร้านกระท่อม ส่งภาพอาวุธปืนไปให้หลังจากนั้นเพราะส่งผิด

นายกิตติกร ให้การด้วยว่า ส่วนที่บอกว่าตนท้าทาย ไม่ได้เป็นการท้าทาย แค่เป็นการพูดตัดบท แล้วในเช้าวันต่อมาขณะที่กำลังนอนพักอยู่ในห้องนอนของญาติที่เพชรบูรณ์ สารวัตรแจ๊ะก็มาปลุกตนถึงเตียง

ผู้ต้องหา ให้การอีกว่า รู้สึกตกใจมากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมตนในตอนเช้าตรู่ เนื่องจากเมื่อคืนกลางดึกยังโทรคุยกับสารวัตรแจ๊ะอยู่เลย ไม่คิดว่าตื่นมาจะเร็วขนาดนี้ ยอมรับจากใจว่าชุดสืบนครบาลชุดนี้เก่งมากที่หาตนเจอได้

หลังจับกุมตัว ได้นำตัว นายกิตติกร หรือมีนพระราม3 ส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน