เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 7 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศโดยรอบท้องสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง แม้ว่าจะมีฝนตกลงมาประปราย แต่พสกนิกรจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยจำนวนมากเดินทางมาต่อคิวเพื่อรอเข้าถวายสักการะเบื้องหน้าพระโกศ พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง อย่างต่อเนื่อง โดยที่ปลายแถวอยู่บริเวณทางเข้าจุดตรวจค้นฝั่งตรงข้ามศาลฏีกา โดยมีเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่เทศกิจ คอยตรวจตรารอบพื้นที่อย่างเข้มงวด
ขณะเดียวกันทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยวที่จะเดินเข้ามาบริเวณสนามหลวง และพระบรมมหาราชวัง ต้องผ่านจุดคัดกรอง 8 จุด ของเจ้าหน้าที่ที่จะตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระ พร้อมทั้งตรวจบัตรประชาชนและหนังสือเดินทางอย่างเข้มงวด เพื่อป้องการแก๊งมิจฉาชีพที่อาจจะเข้ามาปะปนกับประชาชน รวมไปถึงกลุ่มจิตอาสา และอาสาสมัครจากหลายหน่วยงานคอยให้ความสะดวกและดูแลความเรียบร้อยแก่พสกนิกร
ส่วนที่บริเวณสนามหลวง พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำกำลังเจ้าหน้าที่เดินตรวจตราดูแลความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบท้องสนามหลวง และตรวจระเบียบแถวของประชาชนที่รอคิวเข้าเฝ้าถวายสักการะพระบรมศพ โดยให้ความสำคัญในการช่วยเหลือประชาชน และให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบเต็นท์ให้บริการ การจัดกิจกรรมในพื้นที่ ซึ่งจะต้องคงเหลือไว้เฉพาะกิจกรรมที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนเท่านั้น เนื่องจากจะมีการจำกัดพื้นที่เพื่อใช้สำหรับเตรียมการสร้างพระเมรุมาศ
ต่อมาเวลา 16.00 น. ที่เต็นท์กองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง (กอร.รส.) พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 และรองผอ.กอร.รส. กล่าวถึงความคือหน้าหลังจากเข้าตรวจความเรียบร้อยในบริเวณสนามหลวงว่า ในวันนี้ทางศูนย์บัญาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ได้มอบหมายให้ น.ส.เรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง มาดูความคืบหน้าของการปรับพื้นที่เพื่อใช้ในการจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติ ซึ่งทางกทม.ได้ปรับปรุงพื้นที่โซนเหนือเรียบร้อยแล้ว และเตรียมจะตั้งเต็นท์ในวันเสาร์และอาทิตย์นี้ เพื่อให้ประชาชนใช้เป็นจุดพักคอยในการต่อแถว ขณะเดียวกันบริเวณดังกล่าวก็จะเตรียมจัดนิทรรศการ ซึ่งนายกฯอยากให้ประชาชนที่มาเฝ้ารอได้ชื่นชมพระบารมีและทราบถึงพระราชกรณียกิจที่สำคัญ ให้พสกนิกรไทยได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
“เรื่องจำนวนคนอาจจะมีปัญหาบ้าง เพราะทุกคนได้เดินทางมาตั้งแต่เช้า เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความแออัด อีกปัญหาหนึ่งก็คือเรื่องของสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้การบริหารคนทำให้เกิดความล่าช้า แต่เป็นห่วงเรื่องของสุขภาพประชาชนที่เดินทางเข้ามา ขอฝากไปยังประชาชนมีสุขภาพไม่แข็งแรง หรือป่วยมีโรคติดต่อ ที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ อย่างไข้หวัดใหญ่ ขอรักษาตัวให้หายดีก่อน ที่จะมาถวายสักการะพระบรมศพ เพราะบริเวณสนามหลวงมีผู้คนเดินทางมามาก ซึ่งมีความแออัดง่ายต่อการแพร่เชื้อ อีกทั้งในหนึ่งวันที่สภาพอากาศทั้งแดด และฝน สลับกัน” รองแม่ทัพภาคที่ 1 กล่าว
พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 8 พ.ย. ก็จะมีควาญช้างจากกลุ่มคชสารคู่แผ่นดิน 200 คน และตัวแทนช้าง 10 เชือก จากมูลนิธิพระคชบาลจากจังหวัดอยุธยา จะจัดกิจกรรมที่บริเณหน้ากระทรวงกลาโหม ในเวลา 09.00 น. ถือเป็นการแสดงความจงรักภักดีของช้างและควาญช้าง สำหรับการดูแลความปลอดภัยนั้น ก็จะมีความระมัดระวัง และจะแยกพื้นที่ระหว่างประชาชนไว้กับช้างอย่างชัดเจน
“อีกทั้งวันนี้มีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาหารือเพื่อรับทราบรายละเอียดการทำงานของ กอร.รส. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดเปิดให้มีการลงทะเบียนเข้าสักการะพระบรมศพผ่านระบบออนไลน์ เพราะมีประชาชนส่วนหนึ่งที่เข้าถึงระบบดิจิตอล แต่ก็ไม่ละเลยประชาชนอีกส่วนหนึ่งที่ยังเข้าไม่ถึงระบบนี้ อีกทั้งปัญหาเรื่องเวลาการเข้าสักการะ ถ้าหากประชาชนที่มาเข้าแถวตั้งแต่เวลา 05.00 น. แต่กลับมีคนลงทะเบียนได้เข้าไปก่อน ก็จะเกิดความไม่พอใจกับคนที่เดินทางมาก่อนได้ จึงได้รายงานปัญหาต่างๆให้รับทราบ เบื้องต้นจากการพูดคุยจะมีการเปิดให้ทดสอบระบบในต้นเดือนธ.ค.นี้ เพื่อดูว่าจะมีความสำเร็จแค่ไหน และต้องปรับแก้อะไรอย่างไรบ้างต่อไป” พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ กล่าว
จากนั้น สำนักพระราชวังได้ยุติการให้เข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว และเปลี่ยนทางเข้าสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากประตูมณีนพรัตน์มาเป็นประตูวิเศษไชยศรี ซึ่งประชาชนจากทั่วทุกสารทิศยังคงหลั่งไหลมาสักการะพระบรมศพอย่างไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่ได้จัดแถวให้ประชาชนที่เข้ามาสักการะพระบรมศพเดินเรียง 4 แถวอย่างเป็นระเบียบผ่านประตูพิมานไชยศรี และยืนตั้งแถวรอหน้าบริเวณพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ก่อนเข้าสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และเดินออกทางประตูเทวาภิรมย์ โดยมีหน่วยกู้ภัย ลูกเสือ และเนตรนารี คอยให้บริการเข็นรถเข็นให้ผู้สูงอายุและผู้พิการที่เข้าสักการะพระบรมศพด้วย ซึ่งประชาชนที่ได้เข้าสักการะพระบรมศพต่างมีสีหน้าเศร้าโศก บางคนถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ
นายแดง รื่นนุสาร อายุ 47 ปี พิการขาอ่อนแรงทั้งสองข้างมาแต่กำเนิด เดินเท้าออกจากบ้านในพื้นที่ ม.7 ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เป็นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร เพื่อมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กล่าวว่า เมื่อทราบข่าวว่าพระองค์สวรรคตก็เสียใจมาก และร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึงพระองค์ จึงตั้งใจเดินเท้าออกจากบ้านเพื่อจะมาสักการะพระบรมศพ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. วันที่ 1 พ.ย. จนมาถึงสนามหลวงในวันนี้ เวลาประมาณ 14.00 น. แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เป็นไร เพราะพระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนมาตลอดพระชนชีพ เมื่อมาถึงรู้สึกดีใจและภูมิใจ
“ผมดำเนินชีวิตตามพระราชดำรัสปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยประกอบอาชีพทำการเกษตรตอนกิ่งไม้ แม้จะมีรายได้ไม่แน่นอน แต่ก็พอเลี้ยงชีพตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น รวมถึงปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง โดยไม่ต้องไปหาซื้อ ผมรักพระองค์มาก ทุกวันจะกราบพระบรมฉายาลักษณ์ที่แขวนไว้ในบ้าน เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนไทย เกิดมาชาติไหนก็ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” นายแดง กล่าว
ด้าน น.ส.ดวงหทัย ไทยขวัญ อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กล่าวว่า ตนมาตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดให้เข้าสักการะพระบรมศพ แต่ตนไม่ได้เข้าสักการะ เพราะคนเยอะมาก จึงคิดว่าสักครั้งในชีวิตจะต้องมาให้ได้ วันนี้ไม่มีเรียน จึงมารอคิวตั้งแต่ 09.00 น. และได้เข้าเวลาประมาณ 16.30 น. พ่อกับแม่ของตนอยู่ต่างจังหวัด ไม่มีโอกาสได้มา ตนเหมือนเป็นตัวแทนครอบครัวที่ได้มา แม้จะนั่งรอนานแค่ไหนก็ไม่รู้สึกเหนื่อย และรู้สึกภูมิใจที่ได้เข้าสักการะพระบรมศพ
น.ส.ดวงหทัย กล่าวต่อว่า พ่อกับแม่ของตนเคยบอกว่า แม้พระองค์จะเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่พระองค์ยังทรงงานหนักเพื่อประชาชน โดยไม่เหน็ดเหนื่อย และมีโครงการพระราชดำริมากมายที่ทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งยังมีคำสอนดีๆ มากมายที่พระราชทานให้ประชาชน เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
“หนูเรียนเป็นครูก็ระลึกถึงพระราชดำรัสที่ตรัสว่า เป็นครูใช่ไหม ฝากเด็กๆ ด้วย ช่วยสอนให้เขาเป็นคนดี ซึ่งหนูจะน้อมนำไปใช้ แม้หนูจะไม่เคยเห็นพระองค์ ได้แต่ดูผ่านโทรทัศน์ แต่วันนี้ได้มากราบสักการะพระบรมศพ รู้สึกว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้อยู่ใกล้พระองค์มากที่สุดแล้ว หนูขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย เกิดชาติหน้าฉันใดก็ขอเป็นรองบาททุกชาติไป” น.ส.ดวงหทัยกล่าวด้วยความตื้นตันใจ