เมื่อเวลา 07.00 น. เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เสด็จทรงเป็นประธานบำเพ็ญพระกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยม.จ.ชาตรีเฉลิม ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย หน้าพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิอดุลยเดช ซึ่งดำเนินเป็นวันที่ 28 ทรงกราบหน้าพระโกศพระบรมศพ หลังจากนั้นทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร จากนั้นถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร และวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 9 พ.ย.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นวันที่ 13 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศ เดินทางมาเฝ้ารอต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ ในเวลา 05.00 น. จากนั้นได้เปลี่ยนทางเข้าเป็นทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี
ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพ สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมโกศพระบรมศพ พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อค่ำคืนของวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจากมีประชาชนเข้ามาสักการะพระบรมศพจำนวนมาก สำนักพระราชวังปิดการเข้าสักการะในเวลา 22.35 น. ซึ่งปกติจะปิดในเวลา 21.00 น. และสรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 33,042 คน รวม 12 วันมีจำนวน 345,850 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 2,538,854.75 บาท รวม 12 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 21,560,231.50 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา นายแฮมมิล ไมเคิล เดวิด อายุ 46 ปี ชาวออสเตรเลีย เดินเท้าแสดงความอาลัยถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จาก อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา รวมระยะเวลา 21 วัน และมาถึงหน้าพระบรมมหาราชวังในเวลา 20.35 น. ของวันที่ 9 พ.ย. รวมระยะทางกว่า 900 กม. โดยมาพร้อมกับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เขียนคำว่า “Walk for king” ถือไว้เบื้องหน้า และสะพายกระเป๋าเดินทางแบคแพคคู่ใจมาเพียงลำพัง โดยมี นายเมธีพิพัฒน์ เข้มตระกูล อาสากู้ภัยปอเต็กตึ๊งตลาดพลู 068 ที่ทำหน้าที่ให้การดูแลประชาชนบริเวณสนามหลวง พบเห็นและพามาแจ้งกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง เพื่อเข้ากราบสักการะพระบรมศพ
นายแฮมมิล กล่าวว่า เพิ่งเคยเดินทางมาประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยเดินทางมาช่วงหยุดพักผ่อนเป็นเวลา 2 เดือน ระหว่างที่อยู่ที่นี่ได้เห็นประชาชนคนไทยรักในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก พอมีประกาศจากสำนักพระราชวังว่า พระองค์เสด็จสวรรคตเป็นช่วงเวลาที่เห็นคนไทยทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ แสดงความโศกเศร้าในการสูญเสียพระองค์ แม้ตัวเองจะรู้เรื่องราวของพระองค์ท่านน้อยมาก แต่ขณะที่กำลังอยู่ในเมืองไทย จึงอยากทำอะไรสักอย่างที่เป็นการแสดงความอาลัยเลย จึงเลือกที่จะเดินเท้ามาเพื่อกราบสักการะพระบรมศพ และขอแสดงความเสียใจต่อคนไทยทุกคน
นายแฮมมิล กล่าวด้วยว่า ขณะที่ได้เข้าไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ก้มลงกราบพระบรมศพอยู่นั้น ตนก็คิดว่าพระองค์ทรงทำอะไรหลายอย่างให้แก่ประชาชนของท่านไว้มากมาย ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ว่าเหตุใดเราจึงต้องทำแบบนี้ และเหตุใดถึงรักเมืองไทย เพราะหลังจากนี้คิดอยากจะใช้ชีวิตในประเทศไทยจนวันสุดท้ายของชีวิต
นางพิมลพร สุนทรกะลัมพ์ อายุ 59 ปี ชาว จ.มหาสารคาม และน.ส.เรวดี อามาตย์เสนา อายุ 57 ปี ชาวจ.ชลบุรี จิตอาสา แพทย์วิถีธรรม สวนป่านาบุญ 1 อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร ที่ต่อแถวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่ตี 4 เปิดเผยว่า เป็นครั้งที่ 5 ที่เข้าสักการะพระบรมศพ หากถามว่าทำไมนั้น คงบอกไม่ได้ แต่อยากที่จะเข้ามาหากมีโอกาส เพื่อระลึกถึงพระองค์ท่าน
นางพิมลพร สุนทรกะลัมพ์ อายุ 59 ปี และน.ส.เรวดี อามาตย์เสนา อายุ 57 ปี
น.ส.เรวดี ในฐานะจิตอาสา เปิดเผยว่า ได้เปิดเต็นท์เพื่อเป็นโรงทานให้กับประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ บริเวณสนามหลวง ฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยทำอาหารมังสวิรัติ เพื่อให้ประชาชนได้ระลึกว่า พระองค์ทรงสอนให้เรารักสุขภาพ กินอาหารไร้สารพิษ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ทำให้เรามีชีวิตที่ดี และการที่มาแจกจ่ายอาหาร ก็เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น เราทุกคนเสียใจที่พระองค์สวรรคต แต่ความจริงแล้วพ่อยังคงอยู่กับพวกเรา สิ่งที่พ่อได้สอนไว้ เราในฐานะจิตอาสาจะนำไปสานต่อให้กับผู้อื่นด้วย
นายสมพล สมเกียรติกุล อายุ 65 ปี
ด้าน นายสมพล สมเกียรติกุล อายุ 65 ปี นักเขียนแบบ ที่อาศัยแถวสะพานสูง กรุงเทพฯ กล่าวว่า เดินทางมาที่สนามหลวงวันนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ในแต่ละครั้งก็มาฟังสวดบ้าง นั่งอยู่ในสนามหลวงบ้าง แต่วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ได้มาเข้าสักการะพระบรมศพ โดยตื่นตั้งแต่ตีสอง ต่อแถวตอนตีสี่ เตรียมตัวทุกอย่างทั้งร่างกาย และเครื่องแต่งกายที่ให้เรียบร้อย โดยสิ่งที่จดจำได้ตั้งแต่เมื่อตอนเป็นนักเรียนมัธยมต้นที่จังหวัดราชบุรี พระองค์เสด็จฯไปทรงเปิดงานโรงเรียนที่นั่น ตอนนั้นเราเป็นนักดนตรีแตรวง ทำให้ได้รับเสด็จฯใกล้เพียงเอื้อมมือ พระองค์รับสั่งว่า เด็กพวกนี้เล่นเก่งจัง ซ้อมนานไหม ยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่เลย
นายประกิต เศียรเจริญพร วัย 68 ปี
“เป็นสิ่งที่ทำให้เราประทับใจมากและจดจำฝังใจจนตอนนี้ หลังจากนั้นจึงได้ติดตามพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์ตลอดมา โดยเฉพาะด้านศิลปะอย่างดนตรี และภาพวาด ที่พระองค์ทรงเป็นศิลปินที่มีอัจฉริยภาพ ภาพวาดทุกภาพวาดจากใจ เป็นตัวของตัวเอง แสดงอารมณ์ได้ดีทุกภาพ ซึ่งเรารับรู้ได้ แต่ละภาพไม่นิ่ง นั่นเพราะพระองค์ทรงวาดภาพเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้เหล่าศิลปินยกให้ท่านเป็นบรมครู เทิดทูนไว้เหนือเกล้า ถือว่าพระองค์เป็นที่สุดแล้วในประวัติศาสตร์โลกนี้” นายสมพล กล่าว
ขณะที่ นายประกิต เศียรเจริญพร วัย 68 ปี พสกนิกร จ.เลย เดินทางมากรุงเทพฯ เพียงลำพังตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. มาพักที่บ้านญาติ ก่อนจะเดินทางมาพระบรมมหาราชวังในวันที่ 10 พ.ย. เวลา 04.30 น. แล้วได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพเมื่อเวลา 09.00 น. เปิดเผยว่า รอนานแค่ไหนก็รอได้ แต่จริงๆ คิดว่าจะรอนานกว่านี้ ระหว่างที่รอก็สวดมนต์ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย อุทิศถวายเป็นพระราชกุศล โดยสวดมาตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. ซึ่งเป็นวันที่ในหลวง ร.9 สวรรคต และทุกวันก็ทำบุญตักบาตร น้อมนำคำสอนของพระองค์ท่าน จากหนังสือรวมพระบรมราโชวาท ในเรื่องให้นึกถึงความตาย เพื่อเราจะได้ไม่ประมาท อยากให้คนไทยทำอย่างที่พระองค์ท่านสอน มีความพอดี ไม่เครียด เมื่อทุกคนมีความสุข ประเทศชาติก็จะมีความผาสุข
