ทนายความ ดรีมทีม เข้าช่วยเหลือประชาชน พาเหยื่อ ดิไอคอน กว่า 100 ราย แจ้งความ ตัวละครลับโผล่แฉ มีเทวดาคุ้มครอง 4 หน่วยงาน จ่ายสินบนหลักหมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 15 ต.ค.67 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เหล่าทนายดรีมทีม ประกอบด้วย นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม, นายมนต์ชัย จงไกรรัตนกุล หรือ ทนายแก้ว, นายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์,
นายเกิดผล แก้วเกิด หรือ ทนายเกิดผล, นายรัชพล ศิริสาคร หรือ ทนายรัชพล, นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา, นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ หรือทนายรณรงค์ ประธานเครือข่ายมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม, นายอนุสรณ์ อะสุระพงษ์ หรือทนายชายพัฒน์, นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด,
นายธมนันท์ แตงทิม หรือจ่าคิงส์สะพานใหม่ และ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ หรือ อี้แทนคุณ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พาผู้เสียหายกว่า 100 ราย กรณีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป มาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหารทุกรายในความผิดตาม พรก.การกู้เงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ฉ้อโกงประชาชน, พรบ.คอมพิวเตอร์ และความผิดฐานฟอกเงิน
นายษิทรา กล่าวว่า ในวันนี้ทีมทนายรวมตัวกันอาสาช่วยเหลือประชาชน พาผู้เสียหายกว่า 100 ราย และคาดว่าจะมีผู้เสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยวันนี้แบ่งหน้าที่กันทำ โดยให้ทนายแต่ละคนดูแลผู้เสียหายประมาณ 10 กว่าคน โดยดูแลตั้งแต่วันแจ้งความ จนกว่าคดีจะไปถึงศาลหรือได้รับเงินเยียวยาคืน เจตนาที่มาในวันนี้ต้องการที่จะช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจึงปรึกษากับกลุ่มทนาย เพราะเกรงว่าจะมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินทำให้ผู้เสียหายจะไม่ได้รับเงินคืน
นอกจากนี้ เมื่อวานตนดูรายการโหนกระแส ที่บอสพอลร้องไห้เหมือนเรียกดราม่า แต่เมื่อไปดูอีกรายการหนึ่งของ The Standard ก็ยังไม่ได้รับผิด และยังแสดงถึงลักษณะการต่อสู้คดีของบอสพอล ที่พยายามจะโยนคดีต่างๆ ไปให้กับทางแม่ข่าย
“ฉะนั้นหากแม่ข่ายคิดว่าจะเดือดร้อนให้รีบออกมาบอกข้อมูลกับตำรวจ ไม่เช่นนั้นพวกแม่ข่ายจะกลายเป็นแพะ เหมือนสโลแกนของเขา ที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะจะนำมาเป็นผู้ต้องหาทั้งหมด” ทนายตั้ม กล่าว
ทนายตั้ม กล่าวอีกว่า อยากฝากไปถึงเหล่าแม่ข่ายต่างๆ ที่มีความกังวลที่จะโดนคดีไปด้วย ให้ออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ แสดงหลักฐานกับเจ้าหน้าที่ ยังไงก็มีความผิด แต่อย่างน้อยโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา
ด้าน ทนายเดชา กล่าวว่า ล่าสุดมีความคืบหน้าทางคดี ทราบมาว่าแม่ข่ายพยายามอัดคลิปข่มขู่พยาน โดยอ้างว่าจะดำเนินการฟ้องกลับ และข่มขู่ว่าหากใครมาแจ้งความจะเอาเข้าคุกให้หมด
“แต่ก่อนที่จะเอาผู้เสียหาย และผมเข้าคุก อยากจะถามว่ามึงหรือกูที่จะติดคุก” ทนายเดชา กล่าว
ด้านทนายรณรงค์ กล่าวว่า ทางมูลนิธิฯของตนรวบรวมผู้เสียหายได้แล้วประมาณ 1,200 ราย โดยเมื่อประมาณช่วงกลางปี 67 ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายจาก บริษัทดิ ไอคอนกรุ๊ป จำกัด ประมาณ 3 ราย เข้ามาปรึกษาตนที่มูลนิธิฯ และบันทึกภาพไว้จากนั้นก่อนที่จะมีคดีกลุ่มผู้เสียหายแจ้งกลับมาหาตนว่าให้ บริษัทดังกล่าวเคลียร์เงินคืนครึ่งหนึ่ง แต่มีค่าประสานงานด้วยมากถึง 7 หลัก และมีนักรับจ้างประสานงานไกลเกลี่ยอีก
หลังจากนั้นปรากฏว่าคดีดังกล่าวหลักๆ ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง คือไม่กล้ายึดทรัพย์ผู้กระทำความผิด เหมือน DSI ถ้าต้องการยึดทรัพย์สินต้องโอนคดีไป DSI และอยากจะบอกประชาชนที่กำลังกลัวว่า ไม่ต้องกลัวและเหตุผลหนึ่งที่ไม่เคยเห็นข่าวของบริษัทนี้เลย เพราะมีเอกสารฉบับหนึ่ง จากสคบ.ตีคดีนี้ไว้ว่าไม่ใช่หน้างานของเขา ทำให้กลายเป็นคดีแพ่ง และอยากให้ตำรวจตรวจสอบ 5 ปีย้อนหลังว่า ทุกโรงพักมีเคสที่มาแจ้งความกับบริษัทดังกล่าวหรือไม่
ขณะที่ นายเอกภพ กล่าวว่า ตนจะนำตัวบุคคลที่เคยทำงานเบื้องหลังให้กับบริษัทไปให้ข้อมูลกับตำรวจ เพราะมีความเชื่อมั่นในตัวของผบช.ก. อยากให้ทำเรื่องนี้ให้ปรากฏชัดเจน เพราะมองว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าใครก็ตาม ระดับไหนก็ตามที่ไปรับเงินในส่วนนี้ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนถือว่าใช้ไม่ได้ ถ้าวันนี้ยังมีใครโทรศัพท์มาหาตน เพื่อให้ไม่พูดถึงใคร ตนจะเอ่ยชื่อทันที และฝากไปยังแม่ข่ายและบอส 3 คนที่เกี่ยวข้อง และมีความสำคัญกับเรื่องนี้
นายเอกภพ กล่าวต่อว่า การที่มีคลิปเสียงหลุดออกมา ตนเชื่อว่าคลิปเสียงดังกล่าวไม่ได้หลุดออกมาจากฝั่งเทวดาที่รับเงินอยู่แล้ว การเจรจาระหว่างเทวดากับบอสพอล น่าจะบันทึกเสียงไว้ ซึ่งตั้งแต่คลิปเสียงดังกล่าวหลุดออกมาทางบอสพอลเองก็ไม่ปลอดภัยเช่นเดียวกัน
นายเอกภพ กล่าวว่า ฝากไปถึงผู้ใหญ่ในรัฐบาล ทั้งรัฐบาลชุดก่อน และรัฐบาลชุดปัจจุบัน ให้หยุดการกระทำ ที่เรียกรับผลประโยชน์และไม่ต้องให้หน้าเสื่อไปติดต่อเคลียร์ปัญหาต่างๆ แทน และฝากไปถึงผู้ใหญ่ในสคบ.ด้วย
หากเปิดเผยขึ้นมาจะหน้าหงายกันหมด และฝากบอกไปยังตำรวจบางหน่วยงานที่รับเครื่องเซ่น อยู่ให้หยุดกระทำเสีย เข้าใจว่าวันนี้เทวดาเก่ง มีความสามารถในการเคลียร์ปัญหาได้ ซึ่งบอกเพียงว่าเป็นเทวดาผู้ชาย และก่อนหน้านี้ให้รัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นหน้าเสื่อคอยคุยเรื่องนี้ ทั้งนี้มีบางคนในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทราบว่าเทวดาที่อยู่ในคลิปเสียงดังกล่าวคือใคร
นายเอกภพ กล่าวว่า ฝากให้สอบสวนกลางจัดการเรื่องนี้ ที่บอสพอลไปพูดในรายการว่าในทีมตอนนี้มี 4 แสน แต่ตนมีหลักฐานว่า ภายในปี 65 มีสมาชิกเกือบ 5 แสนคน แล้วตอนนี้จะมีสมาชิกเพิ่มมาขนาดไหน
ด้านพยานปากสำคัญ ซึ่งเคยเป็นบุคคลที่ทำงานกับบริษัทดิไอคอน และดูแลระบบหลังบ้าน เปิดเผยว่า ตนมีข้อมูลและจะนำข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินกับบุคคลบางคนที่เรียกว่า เทวดา ส่วนจ่ายเงินแบบไหนนั้น
พยานระบุว่า จ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จ่ายไปหลักหมื่นล้านบาท ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเทวดามีหลายคน และเทวดาจะคุ้มครอง 4 หน่วยงานหลัก สคบ, ปคบ., ดีเอสไอ, สอท. โดยเทวดาเป็นคนนำเงินไปจัดสรรให้แต่ละหน่วยงานเอง แต่เทวดาไม่ได้รับโดยตรง ซึ่งจะมีหน้าเสื่ออีกที
เมื่อนักข่าวถามว่า เปลี่ยนรัฐบาลแล้วเปลี่ยนเทวดาด้วยหรือไม่ พยานรายนี้ไม่ขอตอบ ขอให้ข้อมูลกับตำรวจ ทั้งนี้เหตุผลที่ตัดสินใจออกมาให้ข้อมูล เพราะไม่อยากให้ประชาชนโดนเอารัดเอาเปรียบไปมากกว่านี้