หนุ่มใหญ่วัย 50 ปี เร่งเกี่ยวข้าวในนา เพื่อหนีน้ำท่วม หลังจากระดับน้ำในลำห้วยสูงขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าจะเอ่อล้นเข้าไปในนา ทำให้ต้นข้าวเน่าเสียหาย จึงได้พาญาติๆ ไปเร่งเก็บเกี่ยว กลางแดดร้อนจัด จนเป็นลมช็อกเสียชีวิต เบื้องต้นคาดว่า ผู้ตายเป็นโรคประจำตัว ความดันและเบาหวาน เมื่อโหมงานหนักเกิดอาการช็อกเป็นลมหมดสติจนเสียชีวิตสลด
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 12 พ.ย. พ.ต.ท.วิทูรย์ ศรีชาย พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งมีคนเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่บริเวณทุ่งนาบ้านแมด ตรงข้ามโรงงานพื้นปูนสำเร็จรูป ซ.เงิน-ทอง ถ.อุดร-สามพร้าว ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และพร้อมด้วย พ.ต.ท.สิทธิพร ธารากุลทิพย์ รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุดรธานี , พ.ต.ต.อาทิตย์ จันทา สว.สส.ฯ หน.เวรสืบสวน , แพทย์เวร ร.พ.ศูนย์อุดรธานี , มูลนิธิส่งเสริมธรรมแห่งอุดรธานี และกำลังจำนวนหนึ่งรุดไปร่วมสอบสวนชันสูตรพลิกศพ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่ามีญาติๆ ของผู้เสียชีวิตได้นำร่างหมดสติ ไปปฐมพยาบาลที่บริเวณลานบ้าน ใกล้ทุ่งนาที่เกิดเหตุ พบว่าผู้ตายสวมกางเกงยีนส์ขายาว ไม่สวมเสื้อ ใบหน้าซีด ทราบชื่อต่อมา คือ นายมวล ห่อหุ้มดี อายุ 50 ปี อยู่ ม.11 บ้านหนองคลอง ติดบ้านแมด ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี
พ.ต.ท.วิทูรย์ ศรีชาย ร้อยเวร เจ้าของคดี เปิดเผยว่า จากการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่าผู้ตายได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อช่วยญาติๆ เกี่ยวข้าวในทุ่งนาบ้านแมด ใกล้บ้านพัก จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยงต้องหยุดมากินข้าว ก็พบว่าผู้ตายบ่นว่าร้อน และหายใจไม่ออก ก่อนจะเป็นลมล้มลงกับพื้น ญาติๆ ช่วยกันนำร่างเข้าไปในที่ร่มเพื่อปฐมพยาบาล แต่ช่วยไว้ไม่ได้ ก่อนที่จะนำไปสถานพยาบาล ผู้ตายหยุดหายใจและเสียชีวิต คาดว่าผู้ตายมีโรคประจำตัว ความดัน และเบาหวาน และมีการพักผ่อนน้อย เมื่อไปทำงานตากแดดและอากาศร้อน จนเกิดหน้ามืดเป็นลมช็อกหมดสติ และเสียชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า เนื่องจากในช่วงนี้มีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมในหลายพื้นที่ ทำให้ระดับน้ำในลำห้วยหลวงที่จะไหลลงไปยังลำน้ำเขต อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย มีระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเอ่อล้นในหลานพื้นที่ โดยเฉพาะในเขต ใกล้ทุ่งนา ต.สามพร้าว ชาวบ้านจึงเร่งเก็บเกี่ยวข้าว ก่อนที่จะถูกน้ำท่วมนา ทำให้ต้นข้าวเน่าเสียหาย ผู้ตายก็เร่งเกี่ยวข้าวท่ามกลางแดดและอากาศร้อน ทำให้เกิดช็อกหัวใจวายจนเสียชีวิตดังกล่าว จากนั้นจึงนำศพไปตรวจพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดอีกครั้ง และมอบศพให้ญาติไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
