บีบีซีรายงานวันที่ 14 เม.ย. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา มีคำสั่งให้กองทัพสหรัฐอเมริกา ร่วมกับกองทัพพันธมิตรฝรั่งเศส และอังกฤษ เปิดปฏิบัติการทางทหารถล่มเป้าหมายรัฐบาลซีเรียแล้ว ขณะมีรายงานว่าเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วใกล้กับกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ว่าปฏิบัติการทางทหารร่วมกันระหว่างสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส เริ่มขึ้นแล้ว
“เป้าหมายการโจมตีของเรา คือ แสนยานุภาพทางเคมีของกองทัพซีเรีย เพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานการป้องปราม ต่อการผลิต และแพร่หลายการใช้อาวุธเคมี ซึ่งถือเป็นการกระทำของอสูรกาย มิใช่มนุษย์”
ขณะที่นางเธเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติการโจมตีทางทหาร และยืนยันว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย
คำสั่งดังกล่าวเกิดไล่หลังไม่กี่ชั่วโมงหลังการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่นายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เพิ่งกล่าวด้วยถ้อยคำวิตกถึงการเผชิญหน้าระหว่างชาติมหาอำนาจ ว่าเป็นภัยคุกคามที่น่าวิตกมากที่สุด พร้อมเตือนว่าความโกลาหลนี้จะเป็นภัยต่อสันติภาพและความมั่นคงของโลก
“สงครามเย็นกลับมาแล้ว พร้อมกับความอาฆาตแค้นของการทะเลาะเบาะแว้งกัน” เลขาธิการยูเอ็นกล่าวระหว่างการประชุมฉุกเฉินว่าด้วยวิกฤตสงครามซีเรีย หลังจากเกิดบรรยากาศโต้เถียงอย่างตึงเครียดในเวทียูเอ็น เมื่ออเมริกาพร้อมด้วยพันธมิตร ฝรั่งเศส กล่าวอ้างว่ามีหลักฐานยืนยันว่ารัฐบาลนายบาชาร์ อัล–อัสซาดที่รัฐบาลรัสเซียหนุนหลังอยู่ ใช้อาวุธเคมีทำร้ายพลเรือนครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 8 เม.ย. เหมือนที่ทำมาแล้วกว่า 7 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้สหรัฐและฝรั่งเศส รวมถึงอังกฤษ กล่าวว่ามีหลักฐานพอที่จะใช้กำลังทหารจัดการกับรัฐบาลซีเรีย แต่กลับไม่ได้แสดงหลักฐานนั้นออกมา ทำให้รัฐบาลรัสเซียตอบโต้อย่างแข็งกร้าว ว่ากุเรื่องขึ้นเพื่อจะโค่นอำนาจรัฐบาลนายอัสซาด และกำจัดรัสเซียไปให้พ้นทาง