เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 15 ก.ค.ที่กองปราบปราม พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1 บก.ป. พ.ต.อ.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผกก.4 บก.ป. พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. ร่วมกับตำรวจ บก.สส.ภาค 7 แถลงจับกุม นายภาคิน หรือขุนพล จักรกาบาตร์ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/6 ต.สามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ 364/2559 ข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง , ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม , สวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องใช้ยศ ตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ พร้อมของกลาง เครื่องแบบทหาร เอกสารราชการ สิ่งเทียมอวัยวะเพศ ภายหลังจับกุมตัวได้ในที่ไนท์สวีทคอนโดมิเนียม ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี

อีกรายจับกุม นายวรพล มาวิมล หรือชยพล พัสวีวรโชติ อายุ 54 ปี บ้านเลขที่ 7/8 ซอยนาคนิวาส 61 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดหัวหิน ที่ จ.159/2559 ข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง พร้อมของกลาง เครื่องแบบทหาร เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณีการวิ่งเต้นเพื่อโยกย้ายตำแหน่งทหาร โดยตามจับได้ที่บ้านเลขที่ 497 หมู่1 ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.ฐิติราช เปิดเผยว่า สำหรับคดีดังกล่าว ก่อนหน้า น.ส.เอ (นามสมมติ) เข้าแจ้งความว่าถูกนายภาคิน อดีตสามี ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2554 หลอกลวงว่า เป็นนายทหารยศ ร.ท. ในครั้งแรกที่พบกัน นายภาคินก็แต่งเครื่องแบบทหารบกเข้ามาจีบ พอคบไปนานๆ เข้าก็ทำให้หลงเชื่อว่าเป็นนายทหารจริง จากนั้นก็ลยเคบหากันเรื่อยมา สุดท้ายก็ตัดสินใจแต่งงานด้วย เมื่อปี 2556 จากนั้น นายภาคิน ก็มาพักอาศัยอยู่กับครอบครัวของ น.ส.เอ

1468578259_201607151635415-20090709164940

พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวว่า น.ส.เอ ให้การอีกด้วยว่า จนมาเมื่อเดือนม.ค. 2558 นายภาคิน อ้างว่าได้เลื่อนยศเป็น พ.ต. ต้องย้ายมารับ ตำแหน่ง ผบ.ม.พัน 29 รอ.ปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์ พร้อมนำหลักฐานต่างๆ เช่น ภาพถ่ายแต่งกายเครื่องแบบเต็มยศ ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นการตัดต่อมาให้ครอบครัวของ น.ส.เอ ดู เพื่ออวดอ้าง จากนั้นไม่นานนายภาคิน ก็เริ่มขอยืมเงินที่บ้านของ น.ส.เอ โดยอ้างว่าจะนำไปใช้ดูแลผู้บังคับบัญชาเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางราชการ นานๆไป ก็มาขอยืมเงินเพื่อไปใช้จ้างเวรสับเปลี่ยน เพื่อไม่ต้องลงไปทำงานที่ ศชต. บางครั้งก็มาขอยืมไปลงทุนทำธุรกิจ นอกจากนี้ ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ก็ยังมีทรัพย์สินมีค่าในบ้านของ น.ส.เอ หายไปอีกหลายรายการ ซึ่งรวมทั้งเงินยืม และทรัพย์สินที่หายไป มีมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 6 ล้านบาท ก่อนเข้าแจ้งความ ผู้เสียหายเริ่มผิดสังเกต จึงไปขอตรวจสอบข้อมูลกับต้นสังกัดของอดีตสามี จึงทำให้รู้ความจริงว่า ถูกหลอก เพราะนายภาคิน ไม่ได้เป็นนายทหารตามที่กล่าวอ้าง นอกจากนี้ ยังพบว่ามีภรรยาอื่นๆ อีกหลายคนด้วย ผู้เสียหายจึงรีบเข้าแจ้งความดำเนินคดีทันที

จากการสอบสวน นายภาคิน ให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้มีอาชีพเป็นเซลล์ขายรถมือสอง แต่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นทหารมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีโอกาส จึงไปหาซื้อเครื่องแบบทหารมาสวมใส่ ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้เลือกเป็นตำรวจ เพราะเป็นงานที่ต้องใกล้ชิดประชาชน ซึ่งจะถูกจับพิรุธได้ง่ายกว่า ส่วนทหารดูมีความน่าเชื่อถือและไม่น่าจะถูกจับผิดได้ง่าย จึงชอบแต่งกายเป็นนายทหาร เพื่อใช้จีบหญิงสาวที่ตนชอบพอ จนมาพบกับผู้เสียหาย ฝ่ายหญิงและครอบครัวหลงเชื่อ ว่าตนเป็นทหารจริง จึงตกลงแต่งงานด้วย ระหว่างที่อยู่กินกันนั้น ตนก็ยังคบหากับหญิงสาวอีก 3 คน โดยใช้วิธีแอบอ้างตัวเป็นนายทหารเช่นเดียวกันทุกราย ซึ่งแต่ละวันทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ตนก็จะแต่งเครื่องแบบทหารทุกครั้ง แต่เมื่อขับรถออกมาจากบ้านแล้ว ก็จะไปแวะเปลี่ยนเสื้อผ้าตามปั๊มน้ำมัน ก่อนจะไปทำงานที่เต็นท์รถยนต์มือสองซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวแฟนสาวคนแรก ที่เคยแต่งงานด้วย

นายภาคิน ให้การอีกว่า ต่อมาตนได้หันมาทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์เอง ซึ่งเงินทุนก็ไปขอยืมเงินจากพ่อตาแม่ยาย กำไรส่วนหนึ่งก็จะแบ่งให้ น.ส.เอ อีกส่วนหนึ่งก็จะนำไปเลี้ยงดูหญิงสาวที่คบหาอยู่ 3 คน ที่ผ่านมายอมรับว่าเคยเปลี่ยนชื่อและนามสกุลมาหลายครั้ง บางครั้งยังอ้างตัวเป็นบุตรบุญธรรมของ พล.อ.ทรงกิตติ จักรกาบาตร์ อดีต ผบ.สส.อีกด้วย การถูกจับกุมครั้งนี้ ตนรู้สึกสำนึกผิดและอยากจะขอโทษหญิงสาวทุกคนที่ถูกหลอกอีกด้วย จึงควบคุมตัวผู้ต้องหารายนี้ส่ง สภ.โพธิ์แก้ว จ.นครปฐม รับไว้ดำเนินคดี

ส่วนคดีของนายวรพล พ.ต.อ.จรูญเกียรติ เปิดเผยว่า มีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนว่า ผู้ต้องหาได้อ้างตัวว่าเป็น เสธ.ทหาร ทำงานอยู่ในวังของพระราชวงศ์ชั้นสูง และชอบนำตราสัญลักษณ์ติดตามที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นทหาร พร้อมโอ้อวดว่าสามารถรับฝากข้าราชการและวิ่งเต้นในการแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ทั้งครู ทหาร ตำรวจ ฯลฯ ได้ โดยเฉพาะยิ่งช่วงไหนที่มีการปรับตำแหน่ง โยกย้าย จะเป็นช่วงที่มีคนเข้าหานายวรพล กันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังทราบว่า ผู้ต้องหาชอบพกปืนติดตัว อยู่เสมอ และมีวัตถุระเบิดไว้ในกระเป๋าส่วนตัวอีกด้วย

พ.ต.อ.จรูณเกียรติ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา คนในเครื่องแบบยศและตำแหน่งใหญ่หลายคน จะเกรงกลัวและเกรงใจนายวรพล อย่างมาก แต่หลังจากรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดหัวหิน และตามจับกุมตัวไว้ได้ดังกล่าว ขณะเดียวกันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หาดเจ้าสำราญ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร มทบ.15 (เพชรบุรี) เข้าตรวจค้นบ้านพักของนายวรพล ตั้งอยู่เลขที่ 269/51 หมู่ 2 ต.หาดเจ้าสำราญ อ.เมือง จ.เพชรบุรี พบของกลางเป็นเอกสารแนะนำตัว ยศ ตำแหน่ง ระบุการขอโยกย้ายไปยังที่ต่างๆ ของหลายหน่วยงานข้าราชการ ทั้งครู ทหาร ตำรวจ ฯลฯ จำนวนมาก จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน

พ.ต.อ.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบประวัติย้อนหลังพบว่า ผู้ต้องหารายนี้ ยังมีหมายจับติดตัวอีก 4 หมายด้วย คือหมายจับศาลจังหวัดพัทลุง ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์” ,หมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี ข้อหา “ลักทรัพย์ผู้อื่น” , หมายจับศาลแขวงธนบุรี ข้อหา “ยักยอกทรัพย์” และหมายจับศาลจังหวัดหัวหิน ข้อหา “กรรโชกทรัพย์”

เบื้องต้น จากการสอบสวน นายวรพล อ้างว่า ทำธุรกิจสนามไดร์ฟกอล์ฟ อยู่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่วนคดีที่ถูกจับกุมขอให้การปฏิเสธ โดยยืนยันว่าไม่เคยแอบอ้างเบื้องสูง และไม่ได้แสดงตัวเป็น เสธ.ทหาร แต่อย่างใด ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนายวรพล อ้างว่า น่าถูกสองสามี-ภรรยา มีซึ่งปัญหาเรื่องการซื้อ-ขายบ้านราคา 5 ล้านบาท เมื่อปี 2557 กลั่นแกล้ง เพราะขณะนั้นตนตกลงซื้อบ้านจากทั้งคนสอง แต่มีปัญหาเพราะยังไม่สามารถโอนบ้านได้ ตนจึงไม่จ่ายเงินให้ ทำให้ทั้งสอง เกิดความโกรธแค้น พร้อมทั้งชี้หน้าแสดงความอาฆาต ว่าจะเอาเรื่องตนให้ถึงที่สุด ส่วนหมายจับเก่าทั้งหมด เกี่ยวข้องกับภรรยาเก่าที่เลิกราไปแล้ว ซึ่งตนขอปฏิเสธทุกหมายจับ จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กองปราบฯดำเนินคดีต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน