นายพิเทพ จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด(มหาชน) หรือ KCAR เปิดเผยแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2560 บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรเติ บโตในทิศทางมั่นคง โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ มาจากธุรกิจรถยนต์เช่า 55% และรายได้มาจากการขายรถมือสอง 45 % ขณะที่ในปี 2559 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท โดยสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้ที่ 10 % ซึ่งเติบโตมากกว่าภาพรวมของธุรกิจที่คาดว่าจะเติบโตที่ 5% ประกอบกับในปีนี้บริษัทมีจำนวนรถยนต์เช่าเพิ่มขึ้นเป็น 7,600 คัน จากปี 2558 ที่มีจำนวน 6,900 คัน หรือจะมีมูลค่าสินทรัพย์รถยนต์เช่าขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาท จากตลาดรวมซึ่งอยู่ที่ราว 40,000 ล้านบาทนั้น โดย 80% เป็นของผู้ประกอบการรถเช่ารายใหญ่ประมาณ 10 ราย และบริษัทอยู่ 1 ใน 5 ของผู้ประกอบการรายใหญ่ดังกล่าว

พิเทพ จันทรเสรีกุล

พิเทพ จันทรเสรีกุล

ตลาดธุรกิจรถยนต์เช่ามีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์ด้านราคา ผลจากการแข่งขันดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการบางรายประสบปัญหาขาดทุนหรือกำไรลดลง เนื่องจากการประมาณการณ์ที่ผิดพลาดหรือบางรายประเมินราคาขายต่อสูงเกินไป และการที่บริษัทมีผลประกอบการที่อยู่ในเกณฑ์ที่มั่นคง จากข้อได้เปรียบในด้านการประมาณการณ์ที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพในการบริหารและจัดการความเสี่ยงได้ดี ประกอบกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท เป็นการทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จึงสามารถประมาณการณ์ต้นทุนได้อย่างแม่นยำ และมีผลประกอบการที่มั่นคง กล่าวคือในส่วนของธุรกิจรถยนต์เช่ามีลูกค้าหน่วยงานที่เป็นรัฐวิสหกิจ ราชการ 20% และบริษัทขนาดใหญ่ ที่เป็นเอกชน เกือบ 80% มีอายุการเช่าระยะยาวไม่เกิน 5 ปี ที่เหลือประมาณ 2 % เป็นลูกค้ารายย่อยที่เช่ารถยนต์เป็นรายวัน

อย่างไรก็ดีในส่วนของบริษัทไม่มีนโยบายในการแข่งขันราคาที่ต่ำสุด แต่มองไปที่อัตราการใช้ซ้ำจากลูกค้าเดิมที่สูง จากการบริการรถยนต์เช่าที่ครอบคลุมการบริการด้านต่างๆ ตลอด 3-5 ปีของสัญญาเช่า ดังนั้นความคุ้มค่าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกค้า และนำเสนอข้อมูลหรือรายละเอียดเพื่อชี้ให้ลูกค้าเห็นว่าการใช้บริการรถยนต์เช่านั้นมีความคุ้มค่าหรือประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการซื้อ หรือเรียกได้ว่ารูปแบบของธุรกิจ หน่วยงาน และองค์กร การใช้รถเช่านั้นคุ้มค่ากับองค์กรมากกว่าการซื้อ เพราะการเช่าสามารถที่จะควบคุมต้นทุนต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ คาดการณ์ได้ ลดความยุ่งยากในการดูแลรักษา อีกทั้งราคารถที่แข่งขันในตลาดนั้นมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา หากประเมินการราคาซากผิดพลาดอาจสร้างต้นทุนเพิ่มให้กับธุรกิจอีกด้วย

กลุ่มลูกค้าใหม่ที่บริษัทจะให้ความสำคัญและต้องการขยายฐานเพิ่มขึ้นคือผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งบริษัทจะลดระยะเวลาของสัญญา ลงมาที่ 1-3 ปี เพื่อช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอี สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้จากการที่หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ มีนโยบายประหยัดค่าใช้จ่าย ยานพาหนะเป็นอีกหนึ่งในหลายแผนกที่องค์กรต้องปรับลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ธุรกิจรถยนต์เช่าขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน