‘Mercedes-Benz The new E-Class Coupe’เปิดตัวกันครั้งแรกในประเทศไทยในงานมอเตอร์โชว์ สำหรับ The new E-Class Coupe ซึ่งมีพื้นฐานมาจากซีดานของตระกูล E-Class ที่ได้รับการปรับโฉมรูปลักษณ์ให้ดูเร้าใจมากยิ่งขึ้น มาพร้อมขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้น โดยมีฐานล้อที่กว้างถึง 113.1 นิ้ว ขนาดความยาวตัวถัง 190 นิ้ว ความกว้าง 73.2 นิ้ว และความสูง 56.3 นิ้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า ซึ่งทำให้รถรุ่นนี้มีพื้นที่วางขาด้านหลัง หมอนรองศีรษะด้านหลัง และความกว้างของเบาะทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่เพิ่มมากขึ้น

ดีไซน์ภายใน ผสมผสานระหว่างความโฉบเฉี่ยวของรถสปอร์ต และความเรียบหรูในแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดดเด่นด้วยเบาะหนังแบบเดี่ยว จำนวน 4 ที่นั่ง มาพร้อมกับชุดหน้าจอความละเอียดสูง COMAND ขนาด 12.3 นิ้ว ที่สามารถเลือกหน้าจอได้ 3 แบบตามชอบคือ Classic, Sport และ Progressive นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มสุนทรียภาพของการเดินทางด้วยระบบไฟในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี

ความปลอดภัยและเทคโนโลยี อาทิ ระบบ DYNAMIC SELECT ที่มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 5 แบบ คือ ECO, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual, ระบบ PRE-SAFE? Sound, ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist), ระบบแผนที่นำทาง (COMAND? Navigation), แผงควบคุมระบบสัมผัสบนพวงมาลัยใช้ง่าย และมีลักษณะคล้ายกับหน้าจอสมาร์ทโฟน หน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว
The new E 300 Coup? มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบ แถวเรียง 1,991 ซีซี เทอร์โบคู่ และ ระบบเกียร์อัตโนมัติชุดใหม่ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ให้ต่ำลงช่วยให้สมรรถนะการขับขี่นุ่มนวลและ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

‘BMW 740Le xDrive Pure Excellence’ มาพร้อมเทคโนโลยีปลั๊กอิน ไฮบริด โดดเด่นด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี BMW eDrive ในบีเอ็มดับเบิลยูตระกูล i มาพร้อมโครงสร้าง Carbon Core และแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงดันสูง ผสานด้วยเทคโนโลยีเฉพาะ BMW TwinPower Turbo ขับขี่ด้วยพลังงาน นอกจากนี้ ยังสามารถนำเทคโนโลยี Efficient Dynamics มารวมเข้ากับยนตรกรรมได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด ให้กำลังสูงสุดที่ 258 แรงม้า ระบบการขับขี่ไฟฟ้ามอบกำลังเพิ่มเติมสูงสุดอีก 113 แรงม้า เมื่อใช้งานร่วมกันเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้จะมอบกำลังสูงถึง 326 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร

อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรภายใน 5.3 วินาที โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 45.5 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อย CO2 ที่ 49 กรัมต่อกิโลเมตร ในขณะที่อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ระหว่าง 13.9 ถึง 13.2 กิโลวัตต์ ต่อ 100 กิโลเมตร

‘BMW M760Li xDrive Model V12 Excellence’ เปิดตัวขุมพลังใหม่ล่าสุด M Performance TwinPower Turbo พร้อมเครื่องยนต์ 12 สูบ เครื่องยนต์ V12 ภายใต้ตราประทับ “M Performance” มีปริมาตรกระบอกสูบขนาด 6.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 448 กิโลวัตต์/610 แรงม้า ที่ 5,500 ถึง 6,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตรที่ 1,550 ถึง 5,000 รอบต่อนาที (อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงรวมอยู่ที่ 8.2 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อย CO2 รวมที่ 291 กรัมต่อกิโลเมตร

อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรภายในเวลาเพียง 3.7 วินาที จำกัดความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ่ายโอนพลังงานผ่านระบบเกียร์ 8 สปีด Steptronic Sport ซึ่งถูกปรับแต่งตามคุณลักษณะของเครื่องยนต์ V12 โดยเฉพาะ

ระบบกันสะเทือนนวัตกรรม Executive Drive Pro มอบความสะดวกสบายในการขับขี่ที่ ระบบการรักษาเสถียรภาพรถแบบ Active roll ช่วยลดการสะเทือนของตัวรถให้น้อยที่สุด ชุดเบรก M Sport ใหม่ ที่มากับคาลิปเปอร์สีน้ำเงินเมทัลลิคติดตราอักษร M ภายใต้ล้ออัลลอย W-Spoke ขนาด 20 นิ้ว

ภายนอก มาพร้อมแถบโครเมียมพาดยาวตลอดช่วงหน้ากว้างของช่องดักอากาศ ในขณะที่กระจังหน้าไตสีเงินก็มาพร้อมกับแถบโครเมียมด้านหน้า และล้อมกรอบด้วยโครเมียมสว่าง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายละเอียดตามจุดต่างๆ ของตัวรถที่ตกแต่งด้วยโครเมียมสว่างเช่นกัน พร้อมติดตรา “V12” ที่ขอบฝากระโปรงท้ายอีกด้วย

‘MINI Country Man’ เจเนอเรชั่นที่สอง จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานครั้งนี้ด้วยกัน 3 รุ่น ได้แก่มินิ คูเปอร์ คันทรีแมน มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน และมินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี มินิ Twinpower Turbo ที่เพิ่มสมรรถนะการขับขี่และกำลังขับเคลื่อน พร้อมพัฒนาในด้านดีไซน์รูปลักษณ์โดดเด่นรอบคันและมิติรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ตอบสนองการใช้งานพื้นที่ภายในห้องโดยสาร ในรูปแบบรถยนต์เอนกประสงค์ พรีเมียม คอมแพ็ค

ขนาดความยาวมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 20 เซนติเมตร ความกว้างที่เพิ่มขึ้นอีก 3 เซนติเมตร และฐานล้อที่ยาวขึ้น 7.5 เซนติเมตร ทำให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ประกอบด้วย 5 ที่นั่งแบบเต็มตัว และช่องเก็บสัมภาระที่มีความจุเพิ่มขึ้น บริเวณช่องเก็บสัมภาระด้านหลังยังมี MINI Picnic Bench ซึ่งสามารถกางออกเป็นที่นั่งปิกนิกบริเวณท้ายรถได้ ส่วนฝากระโปรงท้ายควบคุมการปิดเปิดด้วยระบบไฟฟ้าเพียงใช้เท้าไปจ่อที่บริเวณใต้กันชนท้ายเมื่อมีกุญแจรถอยู่กับตัวเท่านั้น

นอกจากนี้ หน้าจอขนาด 8.8 นิ้ว ที่อยู่บริเวณกลางแผงคอนโซลรถมาพร้อมระบบสัมผั เป็นครั้งแรก พร้อมฟังก์ชั่นต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น MINI Country Timer ที่ช่วยตรวจจับการขับขี่บนพื้นถนนที่ท้าทาย MINI Connected ที่เป็นเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวในยามเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นแผนที่นำทาง แสดงพิกัดของรถ ดูการจราจร ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ และสมาร์ทโฟน

‘Volvo V90 D4’ นับเป็นการสานต่อตำนานรถเอสเตทที่เยี่ยมยอดและยาวนานของวอลโว่ โดยถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มของ Scalable Product Architecture (SPA) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยในวงการรถยนต์อีกครั้งด้วยเทคโนโลยี City Safety ซึ่งปัจจุบันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์วอลโว่ทุกรุ่น

ระบบ City Safety ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นในวอลโว่ V90 ด้วยการเสริมระบบการตรวจจับสัตว์ใหญ่ เสริมความปลอดภัยด้วยระบบป้องกันการตกถนน Run Off Road Mitigation ที่ช่วยให้พวงมาลัยทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อให้ท่านคงแล่นอยู่บนถนน ส่วนระบบ IntelliSafe เป็นเสมือนศูนย์ความปลอดภัย จะทำหน้าที่ดูแลและสั่งการระบบความปลอดภัยย่อย ทั้งก่อนเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ วอลโว่ จึงเป็นผู้นำด้านการขับรถโดยไร้ผู้ขับอีกด้วย

มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียงที่ดีที่สุดในโลกระบบหนึ่ง “Premium Sound โดย Bowers & Wilkins” ระบบเสียงชั้นนำชุดนี้มาพร้อมกับแอมพลิฟายเออร์ 1400 วัตต์ คลาส D ระบบขยายเสียง 12 แชนเนล ลำโพงจำนวน 19 ตัว และมีซับวูฟเฟอร์แยกออกมาอีกหนึ่งตัว ทำให้เสียงเบสมีความนุ่มลึกมากยิ่งขึ้น

ขับเคลื่อนด้วยระบบเครื่องยนต์ Drive-E ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะเป็นรุ่น V90 D4 ซึ่งมีกำลังแรงสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,250 รอบต่อนาทีกับแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตรที่ช่วง 1,750 ถึง 2,500 รอบต่อนาที ช่วยให้มีแรงเร่งออกตัวจากความเร็ว 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาเพียง 8.2 วินาที แต่จิบเชื้อเพลิงเพียง 19.6 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 133 กรัมต่อกิโลเมตร

‘Lamborghini Huracan Performante V10’ ซูเปอร์คาร์สายพันธุ์โหดที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยมีมาของค่ายตรากระทิงเผยโฉมออกมา จะถูกเผยโฉมให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในประเทศไทย มาพร้อมเครื่องยนต์บล็อกวี10 ความจุ 5.2 ลิตร ไม่มีระบบอัดอากาศเหมือนกับฮูราคานรุ่นสแตนดาร์ด แต่ถูกอัพเกรดพละกำลังให้เพิ่มขึ้นเป็น 631 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ซึ่งมากกว่าเดิม 30 แรงม้า และ 40 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม.ต่อชม. ภายใน 2.9 วินาทีเท่านั้น และเร่งจาก 0-200 กม.ต่อชม. ใน 8.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 325 กม.ต่อชม.

ปรับปรุงระบบเกียร์อัตโนมัติดูอัลคลัตช์แบบ 7 สปีด ปรับช่วงล่างให้แข็งแน่นยิ่งขึ้น และปรับระบบบังคับเลี้ยวกลไกไฟฟ้า ระบบควบคุมเสถียรภาพ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาที่ทำให้ตัวรถเกาะถนนแน่นหนึบในทุกสภาวะ ส่วนตัวถังรถของฮูราคาน เพอร์ฟอร์แมนเตใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คอมโพสิท มีระบบแอโรไดนามิกแบบแอคทีพอย่างสปอยเลอร์หน้า ฝากระโปรงเครื่องยนต์ แผงกันชนหลังพร้อมดิฟฟิวเซอร์ที่มี “ครีบ” สามารถเปิดปิดหักเหกระแสลมได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีปีกสปอยเลอร์หลังที่ช่วยให้ท้ายรถเกาะถนนมากขึ้นขณะเข้าโค้ง

‘Maserati Levante’รถเอสยูวีสุดหรูจากค่ายรถสุดหรู เข้ามาอวดโฉมเป็นครั้งแรกในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ เอกลักษณ์อันโดดเด่นของมาเซอร์ราติ ด้านหน้าได้รับการออกแบบใหม่ให้ความรู้สึกถึงความก้าวร้าว ไฟหน้าทรงเรียวงามถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน โดยส่วนบนของโคมไฟใหญ่จะเชื่อมโยงเข้ากับกระจังขนาดใหญ่ที่ด้านหน้า ด้านข้างยังคงเน้นเส้นสายที่เรียบง่ายชัดเจน ซึ่งเป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของมาเซอร์ราติหลากหลายรุ่น

ประตูขนาดใหญ่แบบไม่มีกรอบหน้าต่าง ประตูด้านหลังจะมีขนาดที่เรียวเล็กลง ผสานเป็นอย่างดีกับเส้นสายด้านข้างที่พลิ้วไหวราวกับสายน้ำ จุดเด่นดังที่กล่าวมาทั้งหมดจะแสดงถึงความเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูง พร้อมยังมีระบบควบคุมการทำงานของโช๊คอัพด้วยไฟฟ้ารองรับอีกด้วย

ในเรื่องของความทันสมัย เลแวนเต มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการเตือน เบรกรถอัตโนมัติ ระบบการเปลี่ยนเลน และมีกล้องแจ้งเตือนรอบทิศทาง หรือแม้กระทั้งแจ้งเตือนจุดบอดในระยะสายตาที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถมองเห็นได้อีกด้วย ถือว่าเค้าให้ความปลอดภัยกับผู้ขับขี่เป็นอย่างมากมีโลโก้บนเสาหลังคาหลัง ดิฟฟิวเซอร์ท้ายสร้างความโดดเด่นให้ท่อไอเสียคู่

รุ่นเครื่องยนต์ที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย คือ เครื่องยนต์เบนซิน 3 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ ด้วยพละกำลัง 350 ถึง 430 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 275 แรงม้า 3 ลิตร V6 เทอร์โบ พร้อมระบบ “Q4” ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะและรองรับด้วยระบบกันสะเทือนด้วยถุงลมที่มีมาตรฐานสูง

‘Porsche Panamera 4S’ เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส เปิดตัว‘พานาเมร่า 4 เอส’(Panamera 4S) ใหม่ล่าสุดครั้งแรกในประเทศไทย รถสปอร์ตซาลูน 4 ประตู เจเนอเรชั่นที่ 2 เส้นสายของตัวถังที่พลิ้วไหวไร้จุดสิ้นสุด แนวซุ้มล้อที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง แนวหลังคาด้านหลังที่ลดระดับความ สูงลงต่ำกว่าเดิมถึง 20 มิลลิเมตร

สมบูรณ์แบบด้วยเครื่องยนต์ V6 ให้พละกำลัง 440 แรงม้า 324 กิโลวัตต์ เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ PDK พร้อมดีไซน์ใหม่สปอร์ตมากยิ่งขึ้น พร้อมติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลากหลาย อาทิ ระบบช่วงล่างแบบถุงลม three-chamber air suspension ระบบช่วย เลี้ยวล้อหลัง rear axle steering และระบบควบคุมการทำงานของตัวถัง electronic 4D Chassis Control รวมไปถึงระบบช่วยเหลือล้ำสมัยอีกมากมายที่เพิ่มทั้งความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

‘Rolls-Royce Wraith Black Badge’ โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก ประกาศเปิดตัวยนตรกรรมสุดหรูรุ่นพิเศษ “เรธ แบล็คแบจ” (Wraith Black Badge) เป็นครั้งแรกในประเทศไทยและแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาพร้อมรูปทรงแบบคูเป้ การออกแบบสุดพรีเมียม ทั้งงานดีไซน์และการเลือกใช้วัสดุต่างๆ ที่ถือว่าเป็นที่สุดของแต่ละด้าน

ดีไซน์โฉบเฉี่ยวสไตล์โมเดิร์น ฝากระโปรงยาวและห้องโดยสารด้านหลังกว้าง พร้อมรูปทรงแนวเส้นโค้งที่โลดแล่นยามราตรีได้อย่างไม่สะดุด Spirit of Ecstasy โครเมียมสีดำเป็นประกายที่ทอดเงาอยู่เหนือกระจังหน้าอันทรงพลัง นิยามใหม่แห่งเฉดสีดำสนิท พร้อมสะกดทุกสายตาด้วยช่องลม คิ้วฝากระโปรงหลัง และท่อไอเสียคู่ชุบโครเมียมสีดำ พร้อมด้วยตรา Rolls-Royce สีดำเช่นกัน

ภายในเน้นการใช้วัสดุระดับพรีเมียม ทั้งคาร์บอนไฟเบอร์ และอะลูมิเนียมเกรดเดียวกันกับที่ใช้ในการสร้างยานอวกาศ ซึ่งมีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแกร่งมหาศาล ชุดเครื่องเสียงที่มาพร้อมขุมพลังสูงถึง 1,300 วัตต์ เบานั่งและงานตัดเย็บหนังที่มีคุณภาพสูงสุด

ขุมพลังมาพร้อมขุมพลัง V12 ขนาด 6.6 ลิตร 624 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 870 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 8 สปีด สามารถทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 4.5 วินาที ตอบสนองอย่างเหนือชั้นด้วยเทคโนโลยี Intuitive Throttle Response ที่ช่วยให้ลากเกียร์ได้นานขึ้นและเร่งเครื่องได้เร็วขึ้น ด้านของราคาจำหน่ายโรลส์-รอยซ์ เรธ แบล็คแบจ ราคาเริ่มต้นที่ 34.9 ล้านบาท โดยแปรผันตามอุปกรณ์ที่ลูกค้าเลือกสั่งทำ จำนวนจำกัดขายในประเทศไทยเพียงแค่ 3 คัน เท่านั้น

‘Aston Martin Vanquish S’ แอสตัน มาร์ติน แบงคอก เปิดตัวยนตกรรมรุ่นพิเศษ New Vanquish S ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก ภายในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ หลังจากเผยโฉมครั้งแรกในโลกในงาน Geneva Motor show เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดย Vanquish S มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ V12 รุ่นปรับปรุงใหม่ พร้อมขุมพลัง 580 แรงม้า ขับเคลื่อน Vanquish S ให้มีความเร็วสูงสุดถึง 323 กม./ชม. และเพิ่มความเร็วจาก 0-100 ได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที ชุดเกียร์ Touchtronic III แบบ 8 สปีด ปลายท่อไอเสียสี่ชุด พร้อมท่อร่วมไอดีแบบใหม่ที่ช่วยปรับปรุงระดับแรงลมของเครื่องยนต์

นอกจากนั้น ยังตอกย้ำความมีสไตล์ของยนตรกรรมรุ่นนี้ให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยดีไซน์แบบใหม่ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ประกอบด้วย Front splitter และ Rear diffuser ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทำให้เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้อย่างมั่นคง และยกระดับภาพลักษณ์ภายนอกให้สะดุดตายิ่งขึ้น ห้องโดยสารโดดเด่นด้วยการตกแต่งภายใน ทั้งดีไซน์งานปักแบบ Filograph, เครื่องเสียง Bang & Olufsen สุดหรู พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ และ ระบบนำทางด้วยสัญญาณรุ่นใหม่ล่าสุด

‘Audi Q5’ ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ นับเป็นยนตรกรรมเอสยูวีแบบสปอร์ตรุ่นใหม่ ได้รับการออกแบบให้แนวเส้นหลังคาดูลื่นไหลจากด้านหน้าลาดยาวจรดยังท้ายรถ สะท้อนแนวคิดใหม่ของการออกแบบรถยนต์แบบสปอร์ตที่ทำให้ไม่อาจละสายตาได้ตั้งแต่แรกเห็น

จุดเด่นของรุ่นนี้ต้องยกให้มิติตัวถังที่ใหญ่ขึ้น แต่น้ำหนักเบาลงกว่า 90 กก. กรัม มิติตัวถังของรุ่นนี้นั้นมีความยาว 4,660 มม. กว้าง 1,890 มม. สูง 1,660 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,820 มม. ภายในมพื้นที่บรรจุสัมภาระได้ถึง 620 ลิตร และเพิ่มเป็น 1,550 ลิตร เมื่อพับเบาหลัง

ไฟหน้าและไฟท้ายโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีแบบ LED พร้อมไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบ dynamic light เสน่ห์ที่สร้างความโดดเด่นในทุกช่วงเวลา ปราดเปรียวและมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาแบบ quattro อันเลื่องชื่อของ Audi ตอบโจทย์ทุกความต้องการกับฟังก์ชันเลือกโหมดกำรขับขี่ Audi drive select ที่จะปรับเปลี่ยนอัตราทดเกียร์และระบบกันสะเทือนตามความต้องการของผู้ขับขี่

ฟอร์ด เรนเจอร์’ทุกรุ่นอย่างครบครัน ทั้งฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์แทรค และ อีก 6 รุ่นใหม่ ได้แก่ ฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 ใหม่ จำนวน 2 รุ่น ที่มาพร้อมรูปลักษณ์แกร่งดุดัน ตกแต่งด้วยอุปกรณ์ระดับพรีเมี่ยม และ ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นย่อยใหม่ ในกลุ่ม XL และXLS จำนวน 4 รุ่น ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้งานได้อย่างลงตัว

‘ฟอร์ด เอเวอเรสต์’รถเอสยูวี ที่ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับรสเอสยูวีขนาดกลางในประเทศไทย ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่บึกบึน พร้อมสมรรถนะในการขับขี่ทั้งบนทางเรียบ และทางออฟโรดอันเหนือชั้น ครบครันด้วยเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ล้ำสมัย พร้อมการตกแต่งภายในอย่างเหนือระดับ

‘ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต’รถเอสยูวีขนาดเล็ก ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่กะทัดรัด คล่องตัว และห้องโดยสารอันกว้างขวาง มอบความสะดวกสบาย อีกทั้งยังสามารถปรับเก็บเบาะ เพื่อประโยชน์ใช้สอยสูงสุด เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบัน ให้ทั้งความคุ้มค่าและคุ้มราคา รวมทั้งรองรับพลังงานทางเลือกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85

‘ฟอร์ด โฟกัส’มาพร้อมเครื่องยนต์อีโค่บูสท์ เทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร 180 แรงม้า และแรงบิด 240 นิวตันเมตร เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและรูปทรงที่ดูทันสมัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังยกระดับการตอบสนองระหว่างการขับขี่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น มอบความประณีต และความหรูหราอย่างเหนือระดับ ให้แก่รถในเซกเมนต์รถยนต์นั่งขนาดเล็ก

‘จากัวร์ และแลนด์โรเวอร์’นำทัพโดย ‘จากัวร์ เอฟเพซ’เอสยูวีสมรรถนะสูง โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่ปราดเปรียวหรูหรา ออกแบบมาเพื่อการใช้งานเอนกประสงค์ ครบทุกประโยชน์ใช้สอยในชีวติประจำวัน เครื่องยนต์ดีเซล 180PS 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ AWD มาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ล่าสุด InControl Touch Pro ที่ให้เชื่อมต่อได้ทุกเวลา และกุญแจแบบ Activity Key ครั้งแรกของโลกในรูปแบบสายรัดข้อมือที่มีคุณสมบัติกันน้ำเพื่อไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง

‘จากัวร์ เอ็กซ์เอฟ’เครื่องยนต์ดีเซล Ingenium 2.0 ลิตรเทอร์โบ ที่ให้พลังแรงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยผ่านมาตรฐาน Euro NCAP ระดับ 5 ดาว ผสานความสะดวกสบายของรถยนต์ขนาดใหญ่ 5 ที่นั่งเข้ากับรูปลักษณ์แนวสปอร์ต พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ InControlTM Touch Pro เพื่อการเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด ระบบนำทางผ่านดาวเทียม และเครื่องเสียงคุณภาพเยี่ยม

‘เรนจ์โรเวอร์ อีโวค’ครอสโอเวอร์หรู พร้อมเครื่องยนต์ Ingenium 4 สูบ เทอร์โบน้ำหนักเบาที่ให้สมรรถนะสูง ตอบสนองทันใจ ประหยัดน้ำมันและปล่อยไอเสียต่ำ มาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ล่าสุด InControl Touch Pro ที่ให้เชื่อมต่อได้ทุกเวลาและกราฟิกความละเอียดสูง

‘เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต ไฮบริด’เครื่องยนต์ดีเซลแบบไฮบริด 3.0 ลิตร V6 ดีเซล เทอร์โบ พร้อมด้วยระบบการควบคุม Auto Terrain Response และDynamic Mode ให้เลือกปรับช่วงล่างได้ตามต้องการ

‘เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม’ เน้นย้ำความโดดเด่นด้านรูปลักษณ์ และการตกแต่งสุดเท่รอบคัน สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถกระบะที่มีดีมากกว่าความแกร่ง โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยสีตัวถังใหม่ น้ำเงิน Blue Me Away พร้อมแพ็คเกจอุปกรณ์ตกแต่งสีดำเน้นความดุดัน สมรรถนะทีทรงพลัง เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เส้นสายบึกบึนแข็งแรงที่ทำให้รถกระบะรุ่นนี้พร้อมบุกตะลุยในทุกเส้นทางที่ท้าทาย สมบุกสมบัน

ชุดตกแต่งสตอร์มสีดำล้วนช่วยเสริมศักยภาพและฟังก์ชั่นการใช้งาน ได้แก่ สปอร์ตบาร์ให้ความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเหนือใคร ล้ออัลลอยสีดำดีไซน์สปอร์ตขนาด 18 นิ้ว มือจับเปิดประตู มือจับเปิดฝาท้าย เส้นขอบหน้าต่าง กันชนท้ายพร้อมเซ็นเซอร์ถอยหลัง ชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันช่วยยกระดับภาพลักษณ์ความดุดันบึกบึน รวมถึงสติกเกอร์สีดำบนฝากระโปรงหน้าพร้อมโลโก้ High Country สติกเกอร์ STORM ตกแต่งด้านข้างตัวรถลายสปอร์ต และกระจกมองข้าง

‘เอ็มจี’รถยนต์สายเลือดอังกฤษ จัดมาครบทุกรุ่น ตั้งแต่ MG3 เก๋งเล็ก ที่โดดเด่นในด้านสมรรถนะ และดีไซน์ ที่มอบความความแตกต่างจากรถในเซ็กเม้นต์เดียวกันด้วยซันรูฟ ถือเป็นเจ้าเดียวในประเทศไทย MG5 คอมแพค ซีดาน ที่ให้ความคุ้มค่า รวมถึงดีไซน์ที่เจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการความแตกต่าง และรุ่นล่าสุดอย่าง MG GS เครื่องยนต์ 1.5 เทอร์โบ สปอร์ตเอสยูวี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน