รายงานพิเศษ ภัทรฉัตร วิเชียรสรรค์
สําหรับชาวสองล้อแล้ว “เหมันตฤดู” หรือหน้าหนาว คือช่วงที่ทุกคนเตรียมแพ็กของเซ็ตรถคู่ใจก่อนทะยานออกไปเที่ยว เพราะทั้งอากาศเย็นสบาย ประกอบกับไม่มีฝนเป็นอุปสรรค ทำให้การขับขี่รถมอเตอร์ไซค์เป็นไปด้วยความสำราญอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ “ซูซูกิ บีบี โคราช” ดีลเลอร์บิ๊กไบก์เจ้าใหญ่เมืองย่าโม จัดทริปพาลูกค้าควบรถท่องเที่ยวในเส้นทางธรรมชาติ นครราชสีมา-น่าน-ภูลังกา จ.พะเยา ระยะทางไปกลับเฉียด 2,000 ก.ม.
“ข่าวสด ยานยนต์” ได้รับเชิญร่วมทางไปด้วย
พาหนะในทริปนี้คือ “วีสตรอม” ตัวลุยจากค่ายซูซูกิ
นัดหมายวันแรก ออกเดินทางจากจ.นครราชสีมา-นครสวรรค์ เพื่อพักผ่อนร่างกายและเตรียมรับทีมที่จะเดินทางมาจากกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น
ส่วนวันที่สอง เมื่อมากันพร้อมจึงเริ่มต้นออกเดินทางผ่านพิจิตร-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์-แพร่ ทางช่วงนี้เป็นทางตรงยาวต้องระวังหลับใน
ส่วนในช่วงสุดท้ายเป็นทางขึ้นลงเขาให้ได้วอร์มอัพกันเบาๆ ก่อนจะถึงปลายทางที่จ.น่าน ซึ่งเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา
คาราวาน ซูซูกิ บีบี โคราช เข้าพักค้างคืนพร้อมจัดกิจกรรม มีตติ้งเล็กๆ ที่ร้านหมูกระทะ ให้บรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง เมื่ออิ่มแล้วจึงแยกย้ายกันเข้าที่พัก
แต่ผมออกมาขี่รถเล่นชมบรรยากาศเมืองน่านยามราตรี แม้ว่าเป็นเวลาเพียง 3 ทุ่มเศษ แต่ตัวเมืองกลับเงียบสงัด มิได้มีอัครสถานหรือธุรกิจบันเทิงใดๆ ส่งเสียงอึกกระทึก
เข้าสู่วันที่สามของการเดินทาง ซึ่งเป็นวันไฮไลต์ในทริปนี้ เราตื่นแต่เช้าไปไหว้พระวัดดังใน จ.น่าน และให้การเดินทางลุล่วงไปได้ด้วยดีจึงไม่พลาดสักการะวัดพระธาตุแช่แห้ง, วัดช้างค้ำ, วัดศรีพันต้น, วัดพระธาตุเขาน้อย และวัดภูมินทร์ ก่อนบึ่งรถต่อไปยังถนนหมายเลข 1169 อ.สันติสุข สุดทางสามแยกที่ตันเลี้ยวขวาไปตามถนน 1081 มุ่งหน้าสู่อ.บ่อเกลือ
ถนนแถวนี้ค่อนข้างสวยงามลัดเลาะสันเขาไปตามอุทยานแห่งชาติดอยภูคา พื้นถนนอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยมแม้จะมีระยะทางไม่มากนักหากเทียบกับถนนทั้งหมดของประเทศไทย
บนถนนที่ทอดยาวไปตามทิวเขาแห่งนี้ คาราวาน “วีสตอร์ม” ต่างพร้อมใจกันผ่อนคันเร่งลง หลังจากที่บิดตึงมือมาตลอดทั้งวัน เพื่อให้สายตานำพาความสวยงามจากสองข้างทาง
แน่นอนว่าการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เมื่อมีอุบัติเหตุเล็กน้อยเพราะสภาพเส้นทางที่คดเคี้ยวและสูงชัน แต่ทุกคนต่างจอดและลงไปช่วยเหลือให้กำลังใจ ประคับประคองกันเพื่อเดินทางต่อไป
ไม่นานนักเราก็มาถึง “บ้านบ่อเกลือ” อ.บ่อเกลือ จ.น่าน แหล่งบ่อเกลือสินเธาว์โบราณ ถัดจากจุดนี้ไปตามทิศตะวันออกไม่กี่กิโลเมตร ก็จะผ่าน “ภูเข้” ภูเขาในทิวเขาหลวงพระบาง ซึ่งแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เป็นเวลาเที่ยงตรงแวะทานข้าวซอยรสอร่อยราคาชาวบ้านหน้าวัดบ่อหลวง พร้อมชื่นชมความสงบเรียบง่ายของดินแดนแห่งนี้ ที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมการแต่งกายได้อย่างเรียบร้อยและสวยงาม แม้กระทั่งเด็กหญิงวัยแตกเนื้อสาวก็ยังแต่งกายนุ่งห่มผ้าซิ่นให้เหล่าอาคันตุกะถ่ายรูปอย่างไม่เคอะเขิน
ออกจากบ่อเกลือมุ่งหน้าสู่ อ.ปัว เพื่อเติมน้ำมันเต็มถัง ก่อนเบี่ยงหน้าสู่ถนน 1148 มีจุดหมายปลายทางที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา จ.พะเยา
สภาพถนนยังคงคดเคี้ยวไม่ต่างจากการเดินทางในช่วงกลางวันเท่าไหร่นัก หน้าที่ภาระของรถจึงตกไปอยู่ที่ระบบเบรกค่อนข้างเยอะ จึงต้องพยายามใช้การเชนจ์เกียร์ลงเพื่อสร้างเอ็นจิ้นเบรกในบางจังหวะ เพื่อไม่ให้ความร้อนสะสมที่จานเบรกเกินไป
เป็นคืนที่สามแล้วของการเดินทางที่นี่เราอยู่ท่ามกลางป่าเขาชายแดน พะเยา-น่าน ซึ่งยิ่งดึกเท่าไหร่อากาศยิ่งเย็นลงเท่านั้น
ตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าของวันที่สี่ วันสุดท้ายของการเดินทาง หลังเปิดหน้าต่างห้องพักสายตาก็พาให้เห็นความสวยงามของแสงเหลืองทองที่พุ่งจากขอบฟ้าของทิศตะวันออก ลงมากระทบกลุ่มไอน้ำขนาดใหญ่ที่เกาะตัวรวมกันเป็น “ทะเลหมอก” เคลื่อนย้ายไหลผ่านไหล่เขาตามสายลมที่พัดเอื่อยๆ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา หลังจบทริปกลับถึงบ้านแล้วแต่ในใจผมกลับนึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่เสพสุขในธรรมชาตินานเท่าไหร่นัก และต้องกลับมาสู่วิถีคนเมืองอันแสนจะวุ่นวายอีกครั้ง
แต่ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าสักวันจะต้องกลับมาเยือนดินแดนแห่งขุนเขาและสายหมอกแห่งนี้ให้ได้อีกครั้ง