หากใครจอดเทียบ‘BMW ซีรี่ย์ 5’ ซีดาน 4 ประตู ช่วงติดไฟแดง แล้วหวังจะประลองความเร็ว ขอให้เหลือบดูสักนิดว่ารถจากค่ายกังหันฟ้า-ขาวคันนี้ ติดโลโก้ตระกูล M ไว้หรือเปล่า เพราะหากใช่แล้วขอให้รู้ไว้เถิดว่าไม่ควรไปยุ่งด้วย เนื่องจากนี่ไม่ใช่รถบ้านที่มีไว้ขับทั่วไป แต่อัดแน่นไปด้วยสมรรถนะและขุมกำลัง ชนิดยากใครจะตามทัน
พูดไปอาจจะไม่เห็นภาพ ว่าแล้วทีมงานบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย นำทัพรถตระกูล M พ่วงด้วย i8 Roadster รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด รุ่นล่าสุด มาให้ได้ลองสมรรถนะกันเต็มกำลัง ในงาน ‘BMW Track Day 2020’ ที่สนามแข่งรถปทุมธานี สปีดเวย์
ก่อนเริ่มทดสอบให้ข้อมูลรถรุ่นต่างๆ ที่นำมาในวันนี้ ตั้งแต่ BMW M4 Competition BMW M4 CS Coupe BMW M5 และ BMW i8 Roadster ปลั๊ก-อิน ไฮบริด คันล่าสุดของค่าย พร้อมทั้งทีเด็ดของแต่ละคัน
เริ่มตั้งแต่ BMW M5 แรงสุดในการทดสอบวันนี้ เครื่องยนต์ M TwinPower Turbo แบบ V8 ขนาด 4.4 ลิตร มีม้าหนุ่มสุดคะนองอยู่ถึง 600 ตัว ทำความเร็วจาก 0-100 กม. ใช้เวลา 3.4 วินาที หวดกับรถสปอร์ตชั้นดีได้สบายๆ ค่าตัวอยู่ที่ 13.339 ล้านบาท
BMW M4 Competition เครื่องยนต์ M TwinPower Turbo 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 450 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม. ใช้เวลา 4 วินาที ราคา 8.799 ล้านบาท
M4 CS Coupe BMW M TwinPower Turbo 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 460 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม. ใช้เวลา 3.9 วินาที ราคา 11.439 ล้านบาท
ขณะที่ i8 Roadster ระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า ผสานกับเทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู eDrive
ส่งพลังด้วยด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 143 แรงม้า ส่งผลให้ปลั๊ก-อิน ไฮบริด โรดสเตอร์คันนี้ ทำความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม. ใช้เวลา 4.6 วินาที ราคา 12.999 ล้านบาท
ราคาที่เห็นนี้ โปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard หายห่วงเรื่องค่าบำรุงรักษากันไปได้ยาวๆ
นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่า BMW ตระกูล M ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการโชว์ตัวเลขยอดขายที่เติบโตขายดิบขายดีอย่างไรกันบ้าง ต้นตระกูล M เริ่มขึ้นเมื่อปี 2010 มียอดขายทั่วโลก 16,969 คัน ถัดไป 2 ปี หรือปี 2012 ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 26,873 คัน หรือเพิ่มเกือบเท่าตัว ปี 2016 ยอดขายทะยานขึ้นแตะหลักแสนอยู่ที่ 102,780 คัน ส่วนในปีที่แล้ว 2019 สร้างสถิติ 135,829 คัน เติบโตจากปีก่อนหน้า 32.2%
ได้เวลาลองของจริงแบ่งการทดสอบเป็น 4 สถานี เริ่มจาก 2 สถานีแรก กับ BMW M4 Competition และ BMW M4 CS Coupe ที่แม้ดูจากสเปคในกระดาษแล้วไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่เอาเข้าจริงบอกเลยว่ามีความดุมากกว่ากันพอสมควร
ขับทำความเร็วและเข้าโค้งสไตล์เรซซิ่ง รอบแรกวิ่งในโหมด‘นอร์มอล’ ที่ว่าแรงแล้ว รอบสองให้ลองโหมด M ที่ทั้งขยับความแรง รวมถึงปรับแต่งเกียร์ ช่วงล่าง และระบบช่วยเหลือต่างๆ ให้กลายเป็นรถสปอร์ต เสียงคำรามของเครื่องยนต์ และความแรงที่ดุดัน ชนิดที่แค่แตะคันเร่งเบาๆ ก็พร้อมนำพาตัวรถทะยานไปข้างหน้า
ถึงแม้จะแรงเร็วขนาดนี้แต่ด้วยพวงมาลัยที่คมกริบ ประกอบกับช่วงล่างที่หนึบแน่น ทำให้การเข้าโค้งซ้าย-ขวาทำได้สบายมือ เมื่อประเมินความหนึบแน่นมาหลายโค้งจนพอรู้รถ ถึงโค้งสุดท้ายเลยขอลองเข้าแรงกว่าที่ควรจะเป็น เพื่อที่จะแก้อาการหวังเพิ่มความสนุก ไม่ผิดหวังตัวรถบานออกเล็กน้อย เสียงล้อยางบดถนนดังเอียด หักพวงมาลัยคืน ตัวรถกลับมาตั้งตรง พร้อมที่จะไปต่อได้อย่างมั่นใจ
จากนั้นมาต่อกันที่เจ้า BMW M5 และ i8 Roadster กับสถานีการขับแบบสลาลม ซิกแซกซ้ายขวา ดูความคล่องตัว และความง่ายในการบังคับพวงมาลัย ทำความเร็วในทางตรง แล้วหยุดรถแบบปัจจุบันทันด่วน เพื่อให้เห็นว่าไม่ใช่มีแต่ความแรง แต่ความปลอดภัยรถทั้ง 2 คันนี้ก็สั่งได้ดั่งใจ
สุดท้ายจบที่สถานีขับเป็นเลข 8 ในวงกลม 2 วง บนพื้นเปียกลื่น เพราะไม่ใช่แค่ฉีดน้ำเปล่า แต่เป็นน้ำที่มีฟองสบู่อยู่ด้วย จำลองว่ากำลังวิ่งฝ่าฝนตกใหม่ๆ ที่มีฟิล์มฝุ่นบางๆ เคลือบถนน ซึ่งจะลื่นกว่าปกติ
สำหรับ BMW M5 รอบแรกขับแบบนอร์มอล รถแก้อาการให้ทุกอย่าง ประคองคันเร่ง กับพวงมาลัยให้ตั้งตรงเป็นอันใช้ได้ รอบต่อมาให้ใช้โหมด M ซึ่งตัดระบบความปลอดภัยออกไปครึ่งหนึ่ง งานนี้รถมีอาการให้ได้รู้สึก ช่วยให้สนุกกับการแก้อาการ
ส่วนเจ้า i8 Roadster ผ่านสถานีนี้ได้ชิล ชิล เพราะเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ คือระบบเครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง และระบบไฟฟ้าขับเคลี่อนล้อหน้า ครั้งแรกอาจจะรู้สึกขัดๆ เพราะลักษณะการเข้าโค้งเหมือนจะไปทั้งคัน แต่พอจับจุดได้กลายเป็นความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นเป็นทบเท่าทวีคูณ
BMW ตระกูล M สไตล์รถบ้าน เป็นรถที่ขับใช้งานในชีวิตประจำวันได้เหมือนปกติ และมีโหมดปลดปล่อยพลังในวันที่ต้องการเอ็กเซอร์ไซต์
เตือนอีกครั้งสังเกตุให้ดีว่ารถ BMW ที่คุณกำลังจะหวดด้วยนั้น มีโลโก้ M ติดอยู่หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นอาจเสียใจมิรู้ลืม
กิตติพงศ์ ศรีเจริญ…เรื่อง
