เปิดตัวกันไปเมื่องานมอเตอร์โชว์ ปลายเดือนมี.ค. มาหมาดๆ พร้อมทั้งนำเสนอธุรกิจรูปแบบใหม่ ด้วยการให้เช่าใช้ ผ่านผู้ให้บริการรถเช่าระยะยาว กับเจ้ารถยนต์ไฟฟ้า 100% สไตล์ SUV ฮอนด้า e:N1 คันแรกของค่ายฮอนด้า ออโตโมบิลในบ้านเรา
สร้างความงุนงงสงสัยให้กับนักเลงรถหัวใจสีเขียวอยู่ไม่น้อย ว่าเหตุไฉนจึงไม่ขาย เพราะดูจากที่นำมาผลิตในโรงงานที่ จ.ปราจีนบุรี แล้ว ต้นทุนน่าจะทำราคาได้ดี จนสามารถสู้กับคู่แข่งได้
งานนี้ทีมงานฮอนด้าไม่ปล่อยให้สงสัยนาน มีคำตอบให้ พร้อมกับให้ผู้สื่อข่าว ทดสอบสมรรถนะในคราวเดียวกัน นำโดย ‘พี่เจี๊ยบ’ มนวรา เพชรพลากร ผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาด และผู้จัดการทั่วไปส่วนงานองค์กรสัมพันธ์
แต่ก่อนจะไปไขคำตอบ มาว่าเรื่องการทดสอบ กับเส้นทางกรุงเทพฯ-จ.นครนายก ขับคันละ 2 คน เลยให้น้องนักข่าวว่าการไปก่อน ส่วนตัวเองอ้อมมานั่งที่เบาะหลัง
ซึ่งทางทีมวิศวกรฮอนด้าภูมิใจนำเสนออย่างมากว่าทั้งแรงเหวี่ยง และแรงหน่วง เวลาถอนคันเร่ง แล้วระบบจะปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ มีความใกล้เคียงกับรถน้ำมันมากกว่ารถอีวีอื่นๆ ที่เคยมีมา
Advertisement
ด้วยหลังคาที่ลาดลงด้านท้าย ทำให้พื้นที่เหนือศีรษะเหลือน้อย ประกอบกับเบาะนั่งค่อนข้างสั้น ไม่รองรับต้นขา นั่งแล้วคล้ายกับต้องเขย่งเท้านิดๆ ต้องดันหลังไปให้แนบกับพนักพิง ช่วยได้ระดับหนึ่ง ด้วยความนุ่มแน่น และออกแบบรองรับสะโพก และแผ่นหลังได้อย่างกระชับ
ออกเดินทางจากสำนักงานใหญ่ฮอนด้า ออโตโมบิล นิคมอุตสาหกรรมบางชัน ย่านมีนบุรี การจราจรหนาแน่นพอประมาณ เดี๋ยวเหยียบเดี๋ยวเบรก แรงดึงของตัวรถแทบไม่รู้สึก ไม่ต่างจากรถทั่วไป
แต่พอออกนอกเมือง ที่เริ่มทำความเร็วได้บ้าง แล้วมีบางครั้งน้องนักข่าวที่ทดสอบอยู่ถอนคันเร่งกะทันหัน แม้จะไม่ได้เหยียบเบรก แต่ตัวรถมีแรงหน่วงให้ได้รับรู้ชัดเจน นี่ขนาดว่าหน่วงเบาสุดจาก 3 ระดับ ส่วนแรงเหวี่ยงไม่ต่างจากรถ SUV ทั่วไป
ขากลับ ‘ข่าวสด ยานยนต์’ ขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ อารมณ์โดยรวมเหมือนกับนั่งอยู่บนฮอนด้า HR-V เพราะใช้แพลตฟอร์มเดียวกัน ที่มีต่างไปบ้างบางจุด เช่น กระจังหน้าปิดทึบ ซ่อนที่ชาร์จไฟไว้ใต้โลโก้
กำลังจากมอเตอร์ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ตีนต้นช่วงออกตัว จี๊ดจ๊าดสะใจสไตล์รถไฟฟ้า เข็มไมล์ไต่ระดับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ไปจนสุดที่ 168 ก.ม.ต่อช.ม. ตามสเป๊กที่เคลมไว้ ไม่มีเกินนี้
ช่วงล่างบนย่านความเร็วสูง มีอาการหวิวให้ได้รู้สึกอยู่บ้าง โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนเลน หรือเข้าโค้ง แต่เอาอยู่จากพวงมาลัยที่คมกริบ ส่วนย่านความเร็ว 110-120 ก.ม.ต่อช.ม. ไปได้แบบชิลชิล
อาการหน่วงเพื่อชาร์จไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ขนาด 68.8 kWh รับรู้ได้ทุกครั้งที่ถอนเท้า ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เวลาคิกดาวน์ เพื่อเรียกกำลังมาใช้เร่งแซง ไม่ปรู๊ดปร๊าดสะใจ
ความเงียบในห้องโดยสาร วิ่งในเมืองไม่ได้ทำความเร็วสูงทำได้ดี แต่พอครั้นกดคันเร่งเพิ่มความเร็ว เสียงจากมอเตอร์มีแทรกเข้ามาพร้อมกับลมปะทะ บางครั้งมีแอบเครียด
สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบความปลอดภัย ฮอนด้าใส่มาไว้เต็มพิกัด และที่หลายคนถามหาระบบเตือนมุมอับด้านข้าง (Blind Spot Information-BSI) มีมาให้ในรุ่นนี้แล้ว
ถึงจุดหมายดูอัตราสิ้นเปลือง หน้าจอ แสดงไว้ก่อนเดินทางอยู่ที่ 97% ระยะทางที่ขับได้จากแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ 419 ก.ม. เบ็ดเสร็จขับไป 222.9 ก.ม. แบตเตอรี่เหลือ 23% ขับได้อีก 85 ก.ม. ถือว่า ห่างจากสเป๊กที่เคลมไว้ชาร์จเต็ม 100% วิ่งได้ 500 ก.ม. แต่ก็นะ ขับทดสอบกันเต็มเหนี่ยว มีเท่าไหร่ใส่หมด กินไฟขนาดนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ ถ้าเท้านิ่งวิ่งในเมืองตัวเลข 400 ก.ม.ปลายๆ น่าจะได้เห็น
กลับมาว่าเรื่องทำไมถึงเป็นการเช่าใช้ ว่ามีข้อดีอะไรบ้าง เริ่มจากลูกค้าไม่ได้จ่ายอะไรเพิ่ม จ่ายค่าเช่าเริ่มต้น 29,000 บาท สัญญาเช่า 4 ปี กับชาร์จไฟคือจบ ไม่ต้องจ่ายค่าประกัน ค่าต่อภาษี เปลี่ยนยางให้ใหม่ทุก 50,000 ก.ม. เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกเล็ก 12 โวลต์ทุกปี มีรถใช้ระหว่างซ่อม ครบสัญญาเปลี่ยนคันใหม่ได้เรื่อยๆ
เหมาะกับใครที่ยังลังเล จะซื้อก็ไม่กล้า เพราะไม่มั่นใจว่าอนาคตรถอีวีจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องราคาขายต่อ ที่ยังไม่รู้ว่าตกลงมากน้อยเพียงใด หรือจะมีใครซื้อต่อไหม รวมถึงไม่ต้องใช้เงินก้อนในการดาวน์รถ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/en1 หรือที่บริษัทรถเช่า 12 แห่งที่เป็นพันธมิตรกับฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
กิตติพงศ์ ศรีเจริญ
