โดย ธีรนัย จารุวัสตร์

ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ของจีน ‘หัวเว่ย’ (จีนออกเสียง หัวเหวย) ยังโดนมรสุมทางการค้าอย่างต่อเนื่อง จากกรณีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสั่งบอยคอตหัวเว่ย ด้วยข้อกล่าวหาว่าบริษัทแห่งนี้เป็นไส้ศึกรัฐบาลมาสอดแนมพลเมืองของตน และระบุว่าเป็นภัยความมั่นคงต่อระบบสื่อสารของอเมริกา

นอกจากนี้ยังสั่งห้ามบริษัทหลายแห่งในสหรัฐทำธุรกิจกับหัวเว่ย รวมถึงยักษ์ใหญ่ Google ทำให้หัวเว่ย ตกอยู่ในที่นั่งลำบากทันที เพราะที่ผ่านมาหัวเว่ยยังต้องพึ่งชิ้นส่วนและระบบปฏิบัติการจากบริษัทในสหรัฐฯจำนวนมาก

ส่งผลถึงผู้บริโภคไทย พากันถามว่า ค่ายมือถือหัวเว่ย จะไปรอดหรือไม่? และคนไทยที่ใช้หัวเว่ย อยู่จะมีผลกระทบใดๆบ้าง?

“ข่าวสด” จึงไม่รอช้า เดินทางไปพบกับคุณ โจว เจิ้น ผอ.ฝ่ายกิจการสาธารณะภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ของหัวเหวยถึงที่สำนักงานหัวเว่ย ประจำกรุงเทพมหานครถึงที่ เพื่อสอบถามถึงวิกฤติทางการค้าที่กำลังคุกรุ่นระหว่างสองชาติมหาอำนาจ

แนะนำอุปกรณ์รองรับ 5G ของหัวเหวย

คุณโจวยืนยันว่าหัวเว่ย ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับรัฐบาลจีน และระบุว่าสหรัฐกำลังเดินเกมผิด

“เราทราบว่าทุกคนเป็นห่วงเกี่ยวกับความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต เราก็เป็นห่วง แต่เรื่องนี้ต้องแก้ด้วยเทคโนโลยี ไม่ใช่แก้ด้วยการเมือง” โจวกล่าว “การที่สหรัฐใช้วิธีการทางการเมือง ทำให้กระทบกันไปหมด ทั้ง production chain [สายการผลิต] supply chain [ซัพพลายเออร์] เกิดการแบ่งแยกกันไปหมด ทั้งที่โลกทุกวันนี้ควรมีความต่อเนื่องก่อน”

คุณโจวกล่าวเพิ่มอีกว่า “เราก็ประหลาดใจว่าประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาจะเจาะจงเล่นงานหัวเว่ย ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนทำไม เราก็อยากถามสื่อมวลชนเหมือนกันว่ามีข้อมูลอย่างไรบ้าง”

ทีมผู้บริหารและล่ามของหัวเหวยพบสื่อมวลชนไทย

ทั้งนี้ มีรายงานตามหน้าสื่อว่าร้านขายโทรศัพท์บางแห่งในไทยระบุว่ายอดขายหัวเว่ย ลดลงร้อยละ 30-50 ตั้งแต่สหรัฐฯสั่งแบน แต่โจวชี้แจงว่าข้อมูลตรงนี้ยังไม่ชัด เพราะบริษัทยังไม่ได้รวบรวมยอดขายในช่วงเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เขาเปิดเผยว่าไตรมาสแรกของปีนี้ หัวเว่ยมียอดขายทั่วโลกมากขึ้นร้อยละ 39 และคาดว่ายอดขายจะยังเติบโตเมื่อถึงสิ้นปีนี้

นอกจากนี้ คุณโจวยืนยันว่าโทรศัพท์หัวเหวยที่ขายไปแล้วก่อนสงครามการค้า และที่กำลังขายอยู่ขณะนี้ยังสามารถรองรับ Google ได้ ผู้ใช้ชาวไทยสบายใจได้ แถมยังจะเปิดตัวโทรศัพท์รุ่น 5G เร็วๆ นี้อีกด้วย

“เราทราบมาว่า Google เขาก็เดือดร้อนเหมือนกัน” โจวกล่าว

เผยโครงการหัวเว่ยในไทย

นอกจากได้ฟังคำชี้แจงสถานการณ์จากผู้อำนวยการของหัวเว่ย โดยตรงแล้ว “ข่าวสด” ยังได้เยี่ยมชมหน่วยวิจัยในสำนักงานหัวเหวยอีกด้วย

ศูนย์วิจัยดังกล่าวตั้งอยู่ใน Open Lab ที่หัวเว่ยเปิดขึ้นในประเทศไทยเพื่อเสริมศักยภาพทางเทคโนโลยีและเปิดโอกาสความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆในไทย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือมหาวิทยาลัย

ตัวอย่างความร่วมมือก็อย่างเช่น การพัฒนาระบบการจ่ายไฟและเก็บค่าไฟของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่หัวหัวเว่ยมีแนวคิดนำเอาโครงข่ายอินเตอร์เน็ตมาช่วยปรับปรุงให้เชื่อมโยงกันทั้งประเทศ ในอนาคตอาจจะไม่ต้องมีมีเตอร์ค่าไฟแล้ว โดยจะเห็นข้อมูลใช้ไฟอย่างแม่นยำ และทางกฟภ.สามารถมอนิเตอร์ระบบจ่ายไฟและตรวจสอบได้ว่า มีการลักลอบที่ใดหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีการริเริ่มนำวิทยุสื่อสารระบบ LTE มาให้ตำรวจไทยลองใช้ ซึ่งมีความเสถียรและสะดวกกว่าวิทยุสื่อสารรุ่นก่อนๆ

และไฮไลท์ที่น่าสนใจคือ หัวเหวยเปิดเผยว่าตอนนี้กำลังร่วมมือพัฒนาระบบจดจำใบหน้า หรือ facial recognition กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เทคโนโลยีจดจำใบหน้าแพร่หลายมากในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันหลายเมืองในประเทศจีนก็ใช้ระบบดังกล่าวสำหรับอำนวยความปลอดภัยให้แก่พลเมือง ขณะที่บริษัทโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ก็ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้เช่นกัน (ใครที่เคยอัพโหลดรูปลง Facebook แล้วโดน tag หน้าให้เรียบร้อยคงเข้าใจ)

สาธิตระบบจดจำใบหน้าที่ตรวจจับได้ถึง 100 บุคคล

สำหรับระบบจดจำใบหน้าที่หัวเหวยกำลังทำให้ตำรวจไทยอยู่นั้น มีสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นการจับภาพ (detect) ใบหน้าของบุคคลต่างๆในรัศมีการมองเห็น ก่อนจะส่งให้ส่วนที่สอง ที่วิเคราะห์ใบหน้า ส่วนสูง พฤติกรรม การแต่งกาย เพื่อเปรียบเทียบว่าตรงกับบุคคลใดในฐานข้อมูลหรือไม่

ถ้าหากมีใบหน้าตรงกับบุคคลในฐานขัอมูล จะส่งสัญญาณเคือนขึ้นมาทันที โดยระบบนี้สามารถตรวจจับบุคคลได้ถึง 100 ใบหน้าต่อหนึ่งเฟรม

เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้ตำรวจทราบได้ทันทีหากกล้องวงจรปิดในเครือข่าย CCTV ของตำรวจพบเห็นอาชญากรหรือบุคคลตามหมายจับ นับว่าเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับศักยภาพการดูแลความปลอดภัยของสาธารณชนนั่นเอง

จีนมีแล้ว ไทยคงได้ใช้บ้างเร็วๆ นี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน