ศบค. ย้ำ อย่าเพิ่งออกจากบ้าน ทำงานที่บ้าน เหลื่อมเวลา วอน คนใจบุญ จะบริจาคของ ให้ประสานสำนักงานเขต จัดระเบียบ ลดแออัด ลดเสี่ยงติดเชื้อโควิด

เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กล่าวถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทยลดลงเป็นเพราะมีการตรวจหาน้อยหรือไม่ ว่า

ประเด็นของการตรวจน้อยเป็นคำถามที่ถูกตั้งขึ้นมาบ่อยครั้ง ซึ่งปัจจุบันเราสามารถตรวจได้ 142,589 ตัวอย่างแล้ว ซึ่งถ้าเป็นตัวเลข 20,000 กว่าตัวอย่างนั้นนานมากแล้ว เอ้าท์แล้ว ซึ่งขณะนี้โรงพยาบาลเอกชนและ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

และโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัย สามารถตรวจได้เป็นจำนวนมาก ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน และเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ตรวจไป 3,397 ตัวอย่างเจอ 1.41% นั่นหมายความว่า 100 คนเจอประมาณคนครึ่ง 200 คน เจอ 3 คน

“การจะไปหว่านตัวทุกคนนั้น ค่าตรวจยังเป็นหลัก 1,000 กว่าอยู่ ก็ไม่อยากจะต้องเสียเงิน และในการตรวจยังต้องใส่อุปกรณ์ ใส่ชุดเต็มรูปแบบ และยังมีความเสี่ยงติดเชื้ออีก ดังนั้นจึงต้องออกแบบการตรวจโดยเข้าไปยังกลุ่มเสี่ยงที่มีความสำคัญจริงๆ

และล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขค้นพบการตรวจรูปแบบใหม่ คือตรวจจาก น้ำลาย ได้ผลในระดับหนึ่ง ผู้ตรวจปลอดภัย แต่อาจจะไม่สามารถเทียบเท่าได้กับการตรวจมาตรฐานจากสารคัดหลั่งในโพรงจมูก เป็นรูปแบบการตรวจที่ง่ายขึ้นและจะได้มีการพัฒนาให้รัดกุม และกว้างขวางขึ้น เพื่อที่จะยืนยันได้ว่าเราควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้”

สำหรับกรณีที่ขณะนี้มีผู้คนออกนอกบ้าน มากขึ้น มาทำงาน จับจ่ายซื้อของ จะมีความสุ่มเสี่ยงในการแพร่ระบาดโรคหรือไม่ นั้น ตนบอก ได้เลยว่าเสี่ยงแน่นอน เพราะโรคยังคงวนเวียนอยู่รอบรอบเรา ยังไม่ได้หายไปจากโลกนี้ และอาจจะอยู่ในบุคคลรอบรอบตัวเราในขณะนี้ด้วยก็ได้เพียงแต่ไม่แสดงอาการ

เพราะฉะนั้นเราต้องป้องกันตัวเราเองทุกคน ไทยเราซีลไว้ ไม่ให้คนติดเชื้อมาเดินอยู่ทั่วไป ส่วนประเทศอื่นๆเขามีการผ่อนคลายเพราะอาจจะไม่เชื่อ หรืออาจมีวิถีวัฒนธรรมเสรี ทำให้มีการเสียชีวิตหลักหมื่นหลักแสน ในภาวะเช่นนี้เราจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่เราต้องสูญเสียไป

แต่สุขภาพต้องมาก่อน ไม่เป็นพาหะนำไปติดปู่ย่าตายาย การออกบ้านจำนวนมากพร้อมพร้อมกันขอให้เหลื่อมเวลาได้หรือไม่ ทำงานที่บ้านได้หรือไม่ ยังเป็นหลักการที่เราไม่ควรย่อหย่อน เพราะเราต้องอยู่กับโรคนี้อีกนานถ้าเราควบคุมกันได้ก็จะดี

ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเอาผิดกับบุคคลที่ไปตั้งโต๊ะแจกข้าวของ ให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าเปลี่ยนจากการจับกลุ่มไปเต็มช่วยอำนวยความสะดวก นั้น ตนขอดูความชัดเจนเรื่องดังกล่าวอีกครั้งว่าถึงขั้นดำเนินคดีหรือไม่

เพราะเชื่อว่าเจตนาของคนที่นำของมาแจกนั้นเป็นเรื่องที่ดี หาก มีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปแจก ขอให้ประสานกับทาง กรุงเทพมหานครผ่านสำนักงานเขตต่างๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ได้สั่งการไปแล้วว่าให้หน่วยงานของกรุงเทพมหานครเข้าไปช่วยจัดระเบียบหรือระบบที่ดีของการช่วยผู้เดือดร้อน

ดังนั้นถ้าจะช่วยคนก็ต้องปลอดโรคไปพร้อมด้วย ขอให้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่เพื่อจัดสถานที่ให้เหมาะสม ไม่แออัด ประชาสัมพันธ์ให้ดี สำนักงานเขต 50 แห่งทั่วกรุงเทพมหานครก็มีเจ้าหน้าที่เพียงพอ ที่จะช่วยเหลือกัน

ส่วนกรณีที่มีการปล่อยข่าวปลอมว่าจะมีการแจกเงินแจกสิ่งของในสถานที่วันเวลาต่างๆ ทำให้ประชาชนไปรอกันเป็นจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสเสี่ยง อย่างนี้ถือเป็นความผิดหรือไม่ นั้น ตน ไม่แน่ใจว่าการทำอย่างนั้นใคร จะได้ประโยชน์อะไร

คนที่ปล่อยข่าวเหล่านี้สร้างความหวังให้กับประชาชนที่จะมารับบริจาคในขณะที่หลายคนเดือดร้อนแต่เมื่อมาแล้วต้องผิดหวังและต้องมารวมกลุ่มกัน มีโอกาสติดโรค นอกจากอาจจะไม่ได้บุญอะไรเลยกลับอาจจะได้ความรู้สึกผิดความรู้สึกที่ไม่ดีตามมาด้วย

เพราะถ้าคนเหล่านั้นติดโรคขึ้นมาทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เตียง ยา ก็ไม่พอ ดังนั้นอย่าเลย เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น หาก ใครต้องการเป็นผู้บริจาคขอให้แจ้งและประสานงานไปยังสำนักงานเขต ทั่วกทม. ได้ และหากเป็นข่าวปลอมทางกระทรวงดีอีเอส ที่ดูแลเรื่องนี้ก็ได้ติดตามเรื่องการออกข่าวปลอมอยู่แล้วดังนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีหากออกข่าวเท็จ

“เมื่อมีคนทุกข์ยากในเรื่องความเป็นอยู่ก็ต้องรับการบริจาคทั้งสิ่งของทรัพย์สินเพื่อประทังชีพ ขอขอบคุณผู้ใจบุญที่จะเป็นผู้ให้ เพราะเมื่อผู้ให้สุขใจผู้รับปลอดโรค บุญที่จะได้ก็ได้ทั้งผู้ให้และผู้รับและสังคมก็ต้องได้ด้วยดังนั้นหากมีกระบวนการจัดการอย่างครบถ้วน เราอยากเห็น ผู้ให้สุขใจผู้รับปลอดโรคและสังคมปลอดภัย”


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน