เสียงแตกทั้งสองฝ่าย! เปิดผลโพลข่าวสด โหวตเปิดเมือง VS ปิดเมือง สูสีทั้งคู่ แนะ 2 แบบ เปิดเมืองแต่มาตรการเข้ม อีกฝ่ายบอกต้องปิดต่อ แต่บ่นเหมือนกัน จะอดตาย
กรณีมีกระแสข่าวการ “คลายล็อก” ในหลายจังหวัด เช่นจังหวัดน่าน บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ฯลฯ เป็นต้น ต่อมา มีข้อเรียกร้องจากหลายฝ่าย ให้มีการ “เริ่มเปิดเมือง” เพื่อให้การค้าขายและเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับ โดยมีหลายข้อเสนอ ที่ให้เปิดเมืองควบคู่ไปกับมาตรการที่เข้มงวด
เฟซบุ๊กข่าวสด ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน ถึงกรณีดังกล่าว หลังจากยอดผู้ป่วย #โควิด19 ลดลง แนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ โดยได้ถามว่า ระหว่าง “ปิดเมืองต่อ เพื่อควบคุมโรคระบาดให้เป็นศูนย์” กับ “เปิดเมืองได้แล้ว เพื่อให้เศรษฐกิจเริ่มเดินหน้า” คุณเลือกอะไร? ซึ่งโพลล์ดังกล่าวนั้น มีผู้ร่วมสำรวจมากกว่า 1.9 แสน โหวต โดยมีผลสำรวจออกมา ดังนี้
- พบกว่ากว่า 100,000 โหวต หรือประมาณ 55 % ต้องการให้ “ปิดเมืองต่อ”
- ส่วนเกือบ 90,000 โหวต หรือประมาณ 45 % ต้องการให้ “เปิดเมืองได้แล้ว”
“ปิดเมืองต่อ เพื่อควบคุมโรคระบาดให้เป็นศูนย์”
เมื่อเราสำรวจความคิดเห็น ของผู้ที่โหวตให้ “ปิดเมืองต่อ” ต่างพูดทำนองเดียวกันว่า หากปิดต่ออีกสัก 1 เดือน ก็ยังพอที่จะทนได้ ยอมรับว่าทุกวันนี้หลายคนประสบความยากลำบาก หลายคนต้องเกือบจะอดตาย แต่ต้องการให้ใช้มาตรการในปัจจุบันให้ถึงขั้นสูงสุด จนโรคระบาดเป็นศูนย์ จึงค่อยเปิดเมือง เพราะหวั่นว่าโรคระบาดรุนแรงครั้งประวัติศาสตร์โลก ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ จะกลับมาระบาดอีกครั้ง
โดยเกรงว่า หากเปิดเมืองตอนนี้ จะไม่คุ้มกับสิ่งที่ทำมาทั้งหมด ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งนี้ บางความเห็นของผู้ที่เสนอให้ปิดเมืองต่อ ยังฝากไปถึงรัฐบาล ในเรื่องมาตรการเยียวยาในช่วงปิดเมือง ที่ครอบคลุมและตรงจุดมากกว่านี้ เพื่อให้มาตรการปิดเมือง ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“เปิดเมืองได้แล้ว เพื่อให้เศรษฐกิจเริ่มเดินหน้า”
แต่ก็ยังมีความเห็น ที่สูสีกับความเห็นที่ให้ “ปิดเมืองต่อไปอีกสักพัก” คือเหตุผลของของผู้โหวตให้มีการ “เปิดเมืองได้แล้ว” ซึ่งความเห็นดังกล่าวก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยหลายคนที่โหวตให้เปิดเมือง ต่างแสดงความคิดเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า ควรเปิดเมืองได้แล้ว เพื่อให้กิจการต่างๆได้เดินหน้า ให้ธุรกิจกลับมาฟื้นตัว และประชาชนจะได้ไม่อดตาย
และมีบางความเห็น ก็ระบุว่า หากจะเปิดเมือง สามารถทำได้ แต่ต้องทำควบคู่กับมาตรการที่เข้มงวด และค่อยเป็นค่อยไป มีการจัดระยะห่างเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย และต้องมีบริการแอลกอฮฮล์ล้างมือ หรือจุดทำความสะอาดมือให้ถี่และมากขึ้น ทั่วเมือง เป็นต้น