มองมุมเศรษฐศาสตร์ ล็อกดาวน์โควิด3เดือน-ฆ่ามากกว่าช่วยประชาชน
มองมุมเศรษฐศาสตร์ – เดลีเมล์ รายงานว่า นักเศรษฐศาสตร์ระดับแนวหน้าของอังกฤษเตือนรัฐบาลว่ามาตรการล็อกดาวน์นาน 3 เดือนที่ยาวนานเกินไปจะ “ฆ่าประชาชนมากกว่าช่วยชีวิตประชาชน”
คณะกรรมาธิการด้านการคลัง 3 คน สะท้อนความเห็นถึงนายบอร์ริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ให้คิดทบทวนใหม่ถึงการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์
เมื่อ 23 ต.ค. รัฐบาลสหราชอาณาจักรแถลงจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มภายในวันเดียวถึง 20,530 คน หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 ส่วนผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 224 ราย ส่วนยอดผู้เสียชีวิตมีอัตราสูงขึ้นร้อยละ 65 ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม คณะผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขของรัฐบาลแถลงว่า สถานการณ์ร้ายแรงลดลงแล้ว และดูจากแนวโน้มสถิติแล้วจะไม่มีการระบาดอย่างรวดเร็วอย่างที่เคยเป็น แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น
ด้านนักเศรษฐศาสตร์ 2 คนเห็นตรงกันว่าการล็อกดาวน์อีก จะทำให้เศรษฐกิจพังพินาศและก่อปัญหาด้านสุขภาพจิตและโอกาสในการหางาน ซึ่งเป็นผลร้ายมากกว่าเมื่อเทียบกับการระบาดของโควิดที่โอกาสผู้ป่วยรอดชีวิตมีสูง
จิจี ฟอสเตอร์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ผู้ให้คำแนะนำนโยบายออสเตรเลียกล่าวว่า เห็นได้ชัดเจนว่ามาตรการล็อกดาวน์ในอังกฤษฆ่าผู้คนมากมายและระงับบริการสาธารณสุขมากกว่าการช่วยประชาชนจากโควิด-19
ด้านเดวิด ไมลส์ จากวิทยาลัยอิมพีเรียล กล่าวว่าการล็อกดาวน์ระยะสั้นมีประสิทธิภาพ แต่การล็อกดาวน์ยาวนานถึง 3 เดือนนั้นดูไม่สมเหตุสมผล
ส่วนโทนี เยตส์ จากมูลนิธิเรโซลูชัน กล่าวว่าจะต้องระมัดระวังการผ่อนคลายล็อกดาวน์เร็วเกินไป แต่การล็อกดาวน์รอบแรกควรจะสิ้นสุดได้ในเร็วๆ นี้
นายจอห์นสันจะชั่งน้ำหนักระหว่างคำแนะนำของนักเศรษฐศาสตร์กับการลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และริชี ขณะที่สุนัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พยายามควบคุมงบประมาณแผ่นดินที่แทบจะสิ้นหวัง
นอกจากนี้ ฟอสเตอร์ยังเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายมุ่งเน้นไปที่การคุ้มครองผู้สูงอายุและความเสี่ยง พร้อมระบุว่า ความผิดพลาดของรัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลทั่วโลกคือการกระพือความหวาดกลัวไวรัสมากกว่าควบคุมความหวาดกลัว และควรอ้างอิงข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกที่ระบุว่าโควิด-19 ไม่ได้ทำให้คนส่วนใหญ่เสียชีวิต
ส่วนเยตส์ชี้ให้เห็นข้อมูลจากทั่วโลกว่าไม่ได้นำมาใช้กับอังกฤษซึ่งโควิด-19 ทำให้เสียชีวิตตามอัตราส่วนมากขึ้นและแนะว่าควรยกเลิกล็อกดาวน์ที่บังคับใช้มาตั้งแต่เดือน มี.ค.และลากยาวมากว่า 3 เดือนได้แล้ว พร้อมทั้งตำหนิรัฐบาลว่าไม่เร่งดำเนินการตั้งแต่ช่วงที่ไวรัสเพิ่งระบาด ตนคิดว่าไม่มีข้อยกเว้นอื่นใดที่จะหยุดยั้งมาตรการล็อกดาวน์ จึงได้แต่หวังว่าการทดสอบและการแกะรอยการระบาดจะได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นและหวังว่าจะมีวัคซีนต้านไวรัส
ทั้งไมลส์และเยตส์ย้ำว่าจำเป็นต้องมีการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ดีกว่านี้
ไมลส์ยังแนะว่าการทดสอบต้องมีความน่าเชือถือประมาณร้อยละ 80 อีกทั้งต้องใช้งานง่าย ทราบผลตรวจรวดเร็ว ราคาถูกและให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย รวมทั้ง อาจจะใช้ชุดตรวจเป็นประจำ
///////////////
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘กระดาษอินเดีย’ตรวจโควิดไวทั่วถึง