การติดเชื้อระลอกแรกช่วง ม.ค.จนถึง ธ.ค. 63 มีการติดเชื้อ 4,237 ราย ส่วน ธ.ค. 63 มีการติดเชื้อ 24,626 ราย ถือว่าสูงขึ้น 6 เท่าจากระลอกแรก ขณะที่ระลอก เม.ย.64 เพียง 3 สัปดาห์ มีการติดเชื้อ 14,851 ราย ถือว่าสูงมากกว่า 3 เท่าของ 11 เดือนครึ่งของระลอกแรก โดยเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงและกระจายทั่วทุกจังหวัด

ล่าสุด ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุถึงความรุนแรง ของโรคโควิด ในระลอกนี้ ว่า มีความเปลี่ยนแปลงไป เชื้อดุงกว่าเดิม อยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานาน

โดยโพสต์ระบุว่า “ระลอกนี้เชื้อดุกว่าเดิม 1. ปกติโดยทั่วไปถ้าเป็นเชื้อระลอกแรก 7 วันไปแล้ว เชื้อจะน้อยลงแม้ว่าตรวจ PCR บวกแต่จะเพาะเชื้อไม่ขึ้น แต่เชื้อของระลอกนี้ 10 วันแล้วยังเพาะเชื้อขึ้นอยู่ แสดงว่าเชื้ออยู่ในร่างกายได้นานขึ้น
2. รอบก่อนๆ ไม่ค่อยเห็นวัยรุ่นที่สุขภาพแข็งแรงเกิดปอดอักเสบ แต่รอบนี้พบมากขึ้นกว่าเดิม
3. หลังจากที่ติดเชื้อไปแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ คนที่มีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงจะเริ่มมีอาการให้เห็น แต่รอบนี้เร็วกว่าเดิม ไม่ถึงสัปดาห์ก็เริ่มมีอาการมากขึ้น การอักเสบเกิดขึ้นเร็ว การให้ยาต้านไวรัสกับยาสเตียรอยด์ต้องพร้อม การวินิจฉัยปอดอักเสบต้องทำได้เร็ว
4. ปริมาณเชื้อในโพรงจมูกและเสมหะมีมากกว่าเดิม เชื้อกระจายได้ง่าย
5. สัปดาห์นี้เป็นต้นไป เราจะเห็นเคสหนักในไอซียูมากขึ้น

จากที่เห็นก็น่าจะสอดคล้องกับข้อมูลในประเทศอังกฤษ ที่มีสายพันธุ์ B117 ระบาด พบว่าควรมีวิธีเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ได้แก่การป้องกันการแพร่เชื้อในชุมชน ด้วยมาตรการต่างๆรวมถึงการกระจายวัคซีนที่เป็นสิ่งที่สำคัญในการลดความรุนแรงของโรค

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน