แพทย์ชนบท ชงแผนใหม่ ถม’แอสตร้า’หมดหน้าตัก ใน กทม.-ปริมณฑล ซัดส.ส.เลิกตอดขอวัคซีน รัฐบาลต้องเอาการเมืองออกจากวัคซีน

เมื่อวันที่ 31 พ.ค.64 ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ข้อความเป็นข้อเสนอต่อรัฐ กรณีการบริหารจัดการวัคซีน และการต่อสู้กับวิกฤตโควิด 19 ระบุว่า ลับลวงพราง วัคซีนโควิด ตอน 3 : 31-05-64 ข้อเสนอใหม่ “หยุดระบาดโควิดให้ตรงจุด ถมวัคซีนแอสตร้าหมดหน้าตักที่กรุงเทพและปริมณฑล”

การระบาดระลอก 3 นั้น มีการระบาดหนักที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิดระลอก 3 ตั้งแต่ 1 เมษายน ถึง 30 พฤษภาคม 2564 มีผู้ป่วยโควิดทั้งสิ้น 100,412 คน อยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล 5 จังหวัดถึง 60,781 คน หรือคิดเป็น 60% ของทั้งประเทศ การยุติการระบาดในเมืองหลวงนั้น ปัจจุบันทำได้แค่ยืนพิงเชือก อย่าให้ล้ม รอวัคซีนมาช่วย แต่เมื่อวัคซีนมาน้อย แอสตร้าเซนเนก้าไม่มาตามนัด ซิโนแวคก็ต้องกระจายทั่วประเทศ ไฟเซอร์ โมเดิร์นนายังไม่แม้แต่ส่งเงินไปจองวัคซีน ซิโนฟาร์มจะมาล็อตใหญ่ได้แค่ไหนยังไม่รู้ การยุติการระบาดในกรุงเทพฯ จึงไม่เห็นอนาคต

ที่สำคัญกรุงเทพและปริมณฑล มีระบบการสาธารณสุขอ่อนแอที่สุดในประเทศ คือ มีแต่ระบบโรงพยาบาลที่ไว้รับดูแลยามป่วย ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอ และไม่มีระบบบริการปฐมภูมิที่ดีที่จะทำหน้าที่ควบคุมโรค แค่การระบาดในคลองเตย ใครจะแจกแจงข้อมูล สอบสวนโรค คัดแยกกลุ่มเสี่ยง ทำ swab ตรวจโควิด เอาคนป่วยไปรักษา เอาคนเสี่ยงไปกักตัว ซึ่งในความเป็นจริงนั้นแทบจะทำไม่ไหว สิ่งที่ทำได้คือการเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อรอรับคนป่วยมารักษาเท่านั้น

เมื่อกรุงเทพระบาด ธุรกิจทยอยปิดตัว พนักงานก็ลำบาก ต่างเดินทางกลับต่างจังหวัด อย่างน้อยก็ยังมีข้าวกิน จึงเป็นการส่งออกเชื้อโควิดไปทั่วประเทศ ดังนั้น หากไม่สามารถหยุดการระบาดที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้ ต่างจังหวัดก็ยังเสี่ยงต่อไป

ทางเลือกหนึ่งเพื่อการยุติการระบาดของโควิดระลอก 3 ด้วยข้อจำกัดที่วัคซีนมีน้อยมาก ก็คือต้องเลือกเป้าที่จะยิง ไม่ใช่ยิงกระจัดกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก และรัฐบาลต้องกล้าหาญเอาการเมืองออกจากวัคซีน

ชมรมแพทย์ชนบท จึงมีข้อเสนอใหม่สำหรับรัฐบาล ขอให้ ศบค.นำวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าทั้งหมดราว 1.8 ล้านโดส ที่ผลิตได้จากสยามไบโอไซเอนซ์ในเดือนมิ.ย. เทหมดหน้าตัก ถมลงที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3 จังหวัด อาทิ จัดให้กรุงเทพมหานคร 9 แสนโดส เพื่อกระจายลงในเขตที่มีการระบาด และจัดไปที่ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ จังหวัดละ 3 แสนโดส ฉีดให้เสร็จใน 1 สัปดาห์ จะช่วยลดการระบาดลงได้มาก บทเรียนจากแม่สอดพบว่า ที่นั่นได้ฉีดวัคซีนเพียง 30% ก็มี herd immunity พอที่จะไม่ระบาดใหญ่แล้ว ส่วนจะให้ถึง 70% นั้นคงยากในภาวะที่ไทยเราที่มีวัคซีนในมือน้อยเช่นนี้

ทำไมต้องเป็นแอสตร้าฯ ก็เพราะวัคซีนแอสตร้าฯ เกิดภูมิคุ้มกันหลังการฉีดเข็มแรกถึงมากกว่า 80 % ในขณะที่วัคซีนซิโนแวคต้องรอหลังเข็ม 2 จึงจะเกิดภูมิในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อคนจองหมอพร้อมไว้เขาก็รอแอสตร้าฯ อยู่ รัฐบาลจะพร้อมไหมที่จะอธิบายทำความเข้าใจสื่อสารกับคนไทยทั้งประเทศให้เห็นถึงความจำเป็นนี้ หากนี่คือหนทางที่ใช่ รัฐบาลก็ต้องกล้าตัดสินใจ กล้าแสดงภาวะผู้นำ และสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนในภาวะวิกฤต

แต่หากยังบริหารแบบตามใบจองหมอพร้อม และระบบ MOPH IC วัคซีนก็จะถูกกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก ถูกฉีดในกลุ่มคนที่ลงทะเบียนไว้ซึ่งกลุ่มใหญ่อยู่ต่างจังหวัดที่มีการระบาดน้อย ทำให้วัคซีนที่มีค่ายิ่ง ไม่ถูกใช้เพื่อดับไฟโควิดในจุดสำคัญ ส่วนวัคซีนซิโนแวคที่มีมาเสริมก็กระจายไปทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ใครที่ลงหมอพร้อมไว้ หากยินดีรับ sinovac ก็รับไป หากไม่ยินดีก็ต้องรอ เพราะวัคซีนแอสตร้าฯ เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในวันนี้ที่เรามีในการยุติการระบาดในพื้นที่สีแดง

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเอาการเมืองออกจากวัคซีน หยุดการที่ ส.ส.แต่ละจังหวัดเข้ามาตอดขอวัคซีน หรือจัดสรรลงในจังหวัดที่หวังเก็บคะแนนเพื่อการเลือกตั้งที่ใกล้จะถึง มิถุนายนคือเดือนชี้อนาคต หากควบคุมการระบาดไม่อยู่ กรุงเทพฯอาจต้องล็อกดาวน์เป็นเมืองร้าง การระบาดอาจลามไปทั่วประเทศ เช่นเดียวกับมาเลเซีย

“กระสุนมีจำกัด หยุดระบาดโควิดให้ตรงจุด ถมวัคซีนแอสตร้าหมดหน้าตักลงที่กรุงเทพและปริมณฑล 3 จังหวัด (นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี)” นี่คือข้อเสนอของชมรมแพทย์ชนบท ที่หวังว่ารัฐบาลและสังคมไทยจะร่วมผลักดันให้เป็นจริง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน