สถานการณ์โควิด ตัวเลขรายวันยังคงทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่องทั้งผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต ทำให้มีการหารืออย่างเคร่งเครียดถึงแนวทางต่อจากนี้ว่าจะทำอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เผยแพร่เอกสาร สำนักระบาด ได้คาดการณ์การระบาดโควิด-19 ของประเทศไทย ระหว่าง ส.ค.-ธ.ค.2564 โดยเป็นการตั้งสมมติฐาน ด้านการระบาด ตามพื้นที่ และรูปแบบการล็อกดาวน์

โดยมีข้อสรุป คือ นโยบายล็อกดาวน์มีผลลดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่และผู้เสียชีวิตในระยะสั้นไม่มากนัก แต่ส่งผลลดจำนวนผู้ป่วยในระยะยาว หากล็อกดาวน์หนึ่งเดือน เริ่ม 19 ก.ค. คาดว่า จะสามารถชะลอจุดสูงสุดของการใช้ทรัพยากรถึงต้นเดือนตุลาคม และหากล็อกดาวน์สองเดือน คาดว่า จะสามารถชะลอจุดสูงสุดของการใช้ทรัพยากรถึงปลายเดือน พ.ย.

หากมาตรการล็อกดาวน์ได้ผลมากขึ้น เช่น จากที่ช่วยลดค่าการติดเชื้อ ได้ 20% เป็น 25% น่าจะสามารถชะลอจุดสูงสุดของการใช้ทรัพยากรได้ประมาณสองสัปดาห์ แต่ขนาดของการระบาดโดยรวมไม่เปลี่ยนไปมากนัก

หากมาตรการล็อกดาวน์ได้ผล และร่วมกับมาตรการวัคซีนในผู้สูงอายุได้ผลดี และดำเนินการได้รวดเร็ว ในเวลาไม่เกิน 2 เดือน น่าจะช่วยคงให้ความชุกของการใช้เครื่องช่วยหายใจไม่เกิน 1,500 รายต่อวัน และอุบัติการณ์เสียชีวิตไม่เกิน 200 รายต่อวันไปจนถึงเดือน ธ.ค.

ด้าน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้แสดงความคิดเห็นจากข้อมูลดังกล่าว ว่าสถานการณ์การระบาดในปัจจุบันถือว่าลุกลาม และรุนแรงมาก ต่อให้ประสิทธิภาพการล็อกดาวน์สูงถึง 25% และยอมล็อกดาวน์นานถึง 2 เดือน ก็ยังประเมินว่ายอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน น่าจะยังขยับขึ้นไปแตะที่ระดับ 25,000 รายต่อวัน โดยมีผู้เสียชีวิตสูงสุดอยู่ที่ 350 คนต่อวัน ในขณะที่หากการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพเพียง 20% และสามารถล็อกดาวน์ได้เพียง 1 เดือน ก็ประเมินกันว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน อาจจะขยับไปแตะถึง 35,000 รายต่อวัน โดยมีผู้เสียชีวิตสูงสุดเกือบวันละ 500 ราย

กองระบาดวิทยา ได้คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยสีเขียวที่มีอยู่จริง น่าจะมีจำนวนเป็น “6 เท่า” ของผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวที่เข้าถึงการรักษา นั่นเหมายถึง มีผู้ป่วยสีเขียวที่ยังไม่ได้รับการรักษา หรืออาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าติดโควิด และยังคงดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันตามปกติ สูงถึง 337,505 คน ซึ่งทำให้การแพร่ระบาดยังคงขยายตัวอย่างรุนแรงต่อเนื่อง

สำหรับผู้ป่วยในกลุ่มสีเหลือง มีการประเมินกันว่า จำนวนที่มีอยู่จริง น่าจะมีจำนวนเป็น “3 เท่า” ของผู้ป่วยในกลุ่มสีเหลืองที่เข้าถึงการรักษา ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มสีเหลือง ที่เข้าไม่ถึงการรักษา ก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นผู้ป่วยในกลุ่มสีแดง และมีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิต นั่นหมายความว่า ประชาชนที่มีความเสี่ยงที่จะต้องเสียชีวิตคาบ้าน หรือเสียชีวิตกลางถนน เพราะเข้าไม่ถึงการรักษาพยายาล นั้นมีมากถึง 171,874 คน เลยทีเดียว

ซึ่งผมยังคงย้ำเหมือนเดิมว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ ระหว่างที่รอคอยวัคซีน คือ การประคับประคองสถานการณ์ เพื่อจำกัดวงในการระบาดให้แคบลง ตัดวงจรการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยา Favipiravir ตามคำสั่งแพทย์ให้เร็วที่สุด ในโรงพยาบาลทุกแห่ง ทุกสังกัด ซึ่งมาตรการที่ผมนำเสนอมาโดยตลอด มีดังต่อไปนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน