ศบค.แจงเหตุ ตัวเลขเสียชีวิตสูง มาจากยอดทบวันก่อนๆ ห่วงหญิงท้องเสี่ยงติดเชื้อดับสูงกว่าคนทั่วไป 2.5 เท่า แต่ได้ฉีดวัคซีนน้อยแค่ 5.5%

วันที่ 25 ส.ค.64 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) แถลงสถานการณ์ประจำวันว่า วันนี้ทั่วโลกติดเชื้อใหม่ 6.5 แสนราย สะสม 213.9 ล้านราย เสียชีวิต 1 หมื่นราย สะสม 4.46 ล้านราย หลายประเทศที่ก่อนหน้านี้จำนวนติดเชื้อลดลง อเมริกาก็กลับมาติดเป็นแสนต่อเนื่องหลายวัน

จากการติดตามข้อมูลพบว่าบางรัฐมีปัญหาที่ประชาชนรับการฉีดวัคซีนเพียง 41% แม้วัคซีนมีความพร้อม แต่ประชาชนบางส่วนยังปฏิเสธวัควีน จึงมีการติดเชื้อและเสียชีวิตสูง โดยฟลอริดาติดเชื้อเสียชีวิตสูงสุด สำหรับประเทศเพื่อนบ้านมาเลเซียติดเชื้อ 2 หมื่นราย เสียชีวิต 211 ราย เมียนมา เวียดนาม กัมพูชา ลาว ก็ขยับขึ้นสูงทั้งหมด

สำหรับประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 18,417 ราย สะสม 1,102,368 ราย หายป่วย 21,186 ราย มากกว่าการติดเชื้อต่อเนื่อง ทำให้มีเตียงรองรับผู้ป่วยสีเหลืองสีแดงมากขึ้น หายสะสม 903,015 ราย เสียชีวิต 297 ราย สะสม 10,085 ราย ถือว่าเกินหมื่นเป็นวันแรก กำลังรักษาตัวลดลงเหลือ 189,268 ราย อยู่ใน รพ. 27,691 ราย รพ.สนามและอื่นๆ 161,577 ราย มีอาการหนัก 5,189 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 1,096 ราย

ทั้งนี้ พบการติดเชื้อเดินทางมาจากต่างประเทศ 10 ราย โดยเฉพาะมาจากเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง คือ ลาว 1 ราย กัมพูชา 4 ราย มาเลเซีย 1 ราย มาจากช่องทางธรรมชาติ และเมียนมา 1 รายมาจากช่องทางธรรมชาติ พยายามมีการข้ามแดนและตรวจพบผลติดเชื้อเป็นบวก

ขอเน้นย้ำทุกจังหวัดเข้มงวดด่านชายแดน เข้าใจว่าเข้มงวดอยู่แล้ว แต่ต้องทำต่อเนื่อง เพราะเรายังพบข้ามผิดกฎหมายตลอด และขอความร่วมมือประชาชนแจ้งเบาะแส ส่วนอีก 3 รายมาจากเนเธอร์แลนด์ อิสราเอล และอังกฤษ

สำหรับการรายงานผู้ติดเชื้อเป็นการตรวจด้วย RT-PCR ส่วนการตรวจด้วย ATK เป็นผู้ติดเชื้อเข้าข่าย วันนี้พบอีก 1,185 ราย ตัวเลขจะแยกกัน ส่วนใหญ่อยู่ใน กทม. ตัวเลขจะมากหรือน้อย ผู้ติดเชื้อตรวจด้วย ATK เข้าระบบการแยกกักที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องงมาตรวจ PCR จึงไม่ได้นำมาบวกในยอดรวมประเทศ หากไม่สามารถแยกกักที่บ้าน ต้องดูแลในชุมชนจะต้องตรวจ PCR ยืนยันว่าติดเชื้อก่อนรับเข้าไปอยู่ ยอดการตรวจจะนำมารวมในวันถัดๆ ไป เช่นเดียวกับผู้เสียชีวิตจำเป็นที่ต้องตรวจสอบข้อมูล

วันนี้รายงานเสียชีวิต 297 ราย มากสุดคือ กทม. 99 ราย โดยการรายงานบางวันอาจมีการทบจำนวนของวันก่อน ซึ่งเสียชีวิตมาก่อนหน้า 1-2 วันและรับยอดรวม บางจังหวัดจึงตัวเลขสูงโดดในบางวัน ซึ่งมาจากการตรวจสอบที่ใช้เวลา และบางรายจังหวัดยืนยันว่ามีการซ้ำซ้อน

ต้องยืนยันการเสียชีวิตว่าเป็นโควิด และบางรายเสียชีวิตโดยไม่ทราบมาก่อนว่าเป้นโควิด จึงต้องใช้เวลาในการตรวจศพยืนยัน ถึงจะรายงานข้อมูลครบถ้วนถูกต้อง การรายงานที่ล่าช้า สธ.พยายามจะให้เร็วและแม่นยำที่สุด ตอนนี้มีการนับวันเสียชีวตด้วยว่าคือวันไหน ไม่ใช่แค่วันรายงาน ยืนยันว่าไม่มีการปกปิดข้อมูลแน่นอน

ประเด็นที่ ศบค.ชุดเล็กหารือกันนั้น กลุ่มผู้เสียชีวิตอายุเกิน 60 ปีมีมากถึง 204 ราย คิดเป็น 69% อายุน้อยกว่า 60 ปีมีโรคประจำตัว 67 ราย คิดเป็น 23% รวมสองกลุ่มนี้ คือ 607 สูงถึง 92% ส่วนหญิงตั้งครรภ์มี 1 รายจาก กทม.

ทั้งนี้ มีเป้าหมายฉีดวัคซีนหญิงตั้งครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ทั่วประเทศ 5 แสนราย รับเข็มแรกเพียง 2.7 หมื่นราย หรือ 5.5% เข็มสอง 2,078 ราย หรือ 0.4% ซึ่งน่าเป็นห่วง

เพราะการศึกษาของกรมควบคุมโรค พบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อช่วงอายุครรภ์ 14-42 สัปดาห์ รวม 52% เป็นช่วง 14-28 สัปดาห์ 27% และช่วง 29-42 สัปดาห์ 30% ส่วนอัตราตาย 14-48 สัปดาห์ สูง 96% โดยช่วง 14-28 สัปดาห์ 41% และช่วง 29-42 สัปดาห์ 55%

“หญิงตั้งครรภ์ 14 สัปดาห์ขึ้นไปมีโอกาสเป็นผู้ติดเชื้ออาการหนักและเสียชีวิต ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เน้นย้ำอัตราตายหญิงตั้งครรภ์ที่รวบรวมตั้งแต่ ธ.ค. 2563 – 13 ส.ค.ที่ผานมา ถือว่าหญิงตั้งครรภ์อัตราตายสูง 2.5 เท่าของคนทั่วไป เพราะสรีระมดลูกขยายขึ้น การหายใจยากลำบาก เมื่อติดเชื้อจึงเสี่ยงและเสียชีวิตได้

ราชวิทยาลัยฯ มีจดหมายถึงทุกหน่วยงาน ฝากประชาชนทุกจังหวัด หญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ฉีดวัคซีนได้ทุกชนิดอย่างปลอดภัย ส่งภูมิคุ้มกันให้ลูกในท้องได้ด้วย เริ่มฉีด 12 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเด็กในครรภ์สมบูรณ์แล้ว เน้นทุกจังหวัดเร่งระดมหาตรวจหญิงมีครรภ์ หากพบให้ความรู้และเชิญชวนรับวัคซีน ฝากคนรู้จักเพื่อนบ้านด้วย เพราะหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง ทั้งหมดในสังคมต้องช่วยกันดูแล” พญ.อิภสมัยกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน