สลด หนูน้อย 1 เดือน ติดโควิดดับ ทั้งที่ไม่มีโรคประจำตัว น่าห่วง เชียงใหม่พบหลายคลัสเตอร์ เตือนหยุดยาว 4 วันเข้มป้องกันสูงสุด หวั่นแพร่เชื้อ

วันที่ 20 ต.ค.64 พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผอ.สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค เป็นตัวแทนศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) แถลงสถานการณ์ประจำวัน ว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อใหม่ 8,918 ราย รักษาหาย 10,878 ราย ยังอยู่ระหว่างรักษา 103,507 ราย อาการหนัก 2,728 ราย ถือว่าลดลง ผู้เสียชีวิต 79 ราย แนวโน้มลดลง เป็นชาย 40 ราย หญิง 39 ราย กว่า 91% อายุมากกว่า 60 ปีและมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เด็ก 1 เดือนเสียชีวิต 1 ราย จ.ตาก ไม่มีโรคประจำตัว

ภาคใต้ เสียชีวิตมากสุด

ผู้เสียชีวิตมาจากภาคใต้เยอะที่สุด 20 ราย ได้แก่ ปัตตานี 8 ราย ยะลา 4 ราย นราธิวาส 3 ราย พัทลุง 2 ราย สงขลา ชุมพร และสุราษฎร์ธานี จังหวัดละ 1 ราย ภาพรวมทั่วประเทศแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่างจังหวัด กทม.และปริมณฑลแนวโน้มลดลง ส่วน 4 จังหวัดใต้ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับการตรวจ ATK ทั่วประเทศ พบ 5.4% เมื่อแยกตามเขตสุขภาพ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตสุขภาพที่ 12 ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วันเยอะสุดคือ นราธิวาส 28.3% ปัตตานี 20.2% ยะลา 19.5% และสงขลา 10% จังหวัดที่ต้องจับตามองเพราะผล ATK เป็นบวกเยอะขึ้น คือ นครศรีธรรมราช เฉลี่ย 25.1% กระบี่ 10.3% เชียงใหม่ 11.4% เชียงราย 20.8% และตาก 7.1%

10 อันดับติดเชื้อสูง ใต้ ติดถึง 5 จังหวัด

ส่วนจังหวัดติดเชื้อ 10 อันดับสูงสุด ยังมี 5 จังหวัดภาคใต้ติดอันดับเช่นเดิม แต่นราธิวาสและนครศรีธรรมราช ยอดติดเชื้อลดลงเหลืออันดับ 8 และ 9 ส่วนก่อนหน้านี้เชียงใหม่ที่อยู่อันดับ 10 ก็ขยับขึ้นมา จึงต้องเฝ้าระวังพื้นที่จังหวัดอื่นๆ มีแนวโน้มจะเปิดรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

พญ.สุมนี กล่าวว่า เชียงใหม่วันนี้ติดเชื้อ 294 ราย คลัสเตอร์สำคัญ คือ การแพร่ระบาดในตลาดเมืองใหม่ ซึ่งเชื่อมโยงไปยังแม่ฮ่องสอน คลัสเตอร์แรงงานไม้ตัดยาง ร้านอาหาร บ้านพักนักเรียนประจำ ร้านค้า ขอให้เชียงใหม่เพิ่มความระมัดระวังการใช้ชีวิต เข้มงวดมาตรการส่วนบุคคล

ส่วนคลัสเตอร์งานศพกระจายทั่วประเทศ วันนี้รายงานเข้ามา คือ เลย อุดรธานี นครศรีธรรมราช ขอนแก่น สิ่งสำคัญการจัดงานศพแต่ละที่ ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลการแยกชุดอาหาร ขอให้รับอาหารกลับไปรับประทานที่บ้านเพื่อความปลอดภัย เพราะการติดเชื้อคือตอนไม่ใส่หน้ากากและรับประทานอาหารร่วมกัน การแพร่จึงง่ายขึ้น

ฉีดวัคซีน เพิ่ม 994,781 โดส

สำหรับผลการฉีดวัคซีนทั่วประเทศวันที่ 19 ต.ค. ฉีดเพิ่ม 994,781 โดส สะสม 67,587,102 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 38,611,193 ราย คิดเป็น 53.6% ของประชากร เข็มสอง 26,959,785 ราย คิดเป็น 37.4% และเข็มสาม 2,016,124 ราย คิดเป็น 2.8% ของประชากร

ทั้งนี้ เดือน ต.ค.ตั้งเป้าหมายอย่างน้อยทุกจังหวัดฉีดครอบคลุม 50% พื้นที่ COVID Free Area ฉีด 70% กลุ่ม 608 ฉีดครอบคลุม 80% ส่วนกลุ่มนักเรียนนักศึกษาอายุ 12-17 ปี ซึ่งใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ฉีดสะสม 1.32 ล้านโดส เกือบ 1 ใน 4

จากการสำรวจความต้องการรับวัคซีน ทยอยให้วัคซีนเข็มแรกลงพื้นที่แล้ว 4.5 ล้านโดส ขอให้ผู้ปกครองติดตามข่าวจากหน่วยบริการ สถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนฉีดวัคซีนให้บุตรหลาน เพื่อให้ไปฉีดตามนัด ซึ่งการให้วัคซีนทยอยส่งไป วันเวลาในการไปรับวัคซีนอาจไม่ใช่วันเดียวกันแม้จะเป็นโรงเรียนเดียวกัน

ส่วนการฉีดวัคซีน 4 จังหวัดชายแดนใต้เพื่อควบคุมโรค ความครอบคลุมเข็มที่ 1 เกิน 50% คือ ยะลา ใกล้ 50% คือ นราธิวาส ปัตตานี และสงขลา กลุ่ม 608 เร่งระดมฉีดเพิ่มขึ้น เกือบ 70% คือ ยะลา สงขลา นราธิวาส ส่วนปัตตานีเกือบ 50% ใน 2 สัปดาห์ที่มีการติดเชื้อในพื้นที่ชายแดนใต้เพิ่มขึ้น ได้ส่งกำลังลงไปสอบสวนโรค ควบคุมโรค ให้บริการฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ หากมีผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรังนอนติดเตียงไม่สามารมารับบริการได้ให้แจ้งสาธารณสุขใกล้บ้านหรือผู้นำชุมชน จัดหน่วยงานลงไปฉีดที่บ้าน โดยที่ประชุมอีโอซี สธ.และ ศบค.ชุดเล็ก เพิ่มจำนวนวัคซีนลงไปภาคใต้ วันนี้ส่งไป 4.8 แสนโดส และจะทยอยส่งไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 1 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุมประชากรตามเป้าหมาย

ส่วนจังหวัดนำร่องท่องเที่ยว รับวัคซีนมากกว่า 50% ได้แก่ กทม. สมุทรปราการ กระบี่ พังงา ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี ระนอง ระยอง เชียงใหม่ และตราด

ส่วนที่ใกล้ 50% คือ เลย หนองคาย อุดรธานี ส่วนกลุ่มสูงอายุที่ฉีดมากกว่า 70% คือ กทม. กระบี่ พังงา ชลบุรี และระนอง การเปิดพื้นที่ท่องเที่ยววันที่ 1 พ.ย. มีการส่งวัคซีนไปสนับสนุน 7 แสนโดส ขอให้ประชาชนเข้ามารับวัคซีน

แจงเปิดประเทศ พิจารณา 3 ปัจจัย

พญ.สุมนี กล่าวว่า การเปิดประเทศมีข้อพิจารณาหลัก 3 ปัจจัย คือ 1.มาตรการสาธารณสุข 2.ภาคเศรษฐกิจ คือ การท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และ 3.ความสอดคล้องมาตรการระหว่างประเทศต้นทางและไทย เช่น การเข้าออกประเทศ มีรูปแบบการเข้าประเทศ 3 แบบ คือ 1.เข้าในสถานที่กักกันที่รัฐกำหนด กลุ่มคนไทยหรือต่างชาติที่รับวัคซีนไม่ครบ โดยกัก 7 วัน 10 วัน 14 วันตามแต่กรณี 2.แซนด์บ็อกซ์ พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 17 จังหวัด และ 3. เข้าแบบไม่กักตัว

โดยทั้ง 2 แบบหลังนี้จะต้องมีเงื่อนไขรับวัคซีนครบทั้ง 2 เข็ม และคุณสมบัติผู้เข้ามาในประเทศ นอกจากรับวัคซีนครบ ต้องมีผลตรวจหาเชื้อจากประเทศต้นทาง 72 ชั่วโมงไม่พบเชื้อ มีประกันสุขภาพ 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ มาถึงไทยก็ต้องตรวจ RT-PCR ซ้ำ เมื่อเป็นลบ จึงเดินทางต่อไปได้

โดยการประชุมเตรียมการเปิดประเทศจะประชุมอย่างต่อเนื่อง เพราะต้องวางแผนรอบคอบ โดยเป้าหมายหลักเปิดประเทศแล้วประชาชนต้องปลอดภัย มีระบบสาธารณสุขรองรับเมื่อต้องใช้แผนเผชิญเหตุหรือเกิดเหตุไม่คาดฝัน โดยจะมารายงานผลเป็นระยะ

ห่วงหยุดยาว 4 วัน

“วันหยุด 4 วันนี้มีคน กทม.ปริมณฑลเดินทางไปต่างจังหวัด หรือคนต่างจังหวัดเดินทางข้ามจังหวัดกันเอง การไปใช้บริการกิจการกิจกรรมใดๆ ขอให้เข้มมาตรการส่วนบุคคล ใส่หน้ากากตลอดเวลา ใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือ เว้นระยะห่าง เข้มมาตรการป้องกันตนเองสูงสุดครอบจักรวาลจำเป็นมาก นอกจากรับวัคซีนครบ มาตรการส่วนบุคคลจะช่วยลดการติดเชื้อและแพร่โรคไปยังผู้อื่น” พญ.สุมนีกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน