‘ศูนย์จีโนมฯ’ เตือนโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยใหม่ เคยติดมาแล้ว ถ้าไม่ฉีดวัคซีน แอนติบอดีในร่างกายที่จะต่อต้านไวรัส ลดลงมากกว่า 7 เท่า

วันที่ 6 พ.ค.65 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ภาพและข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กเพจ Center for Medical Genomics ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ความว่า ผู้ติดเชื้อโอมิครอนรายใหม่และผู้ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยขณะนี้มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องจนอาจเข้าสู่ภาวะ “โรคประจำถิ่น” ที่ระบบสาธารณสุขสามารถควบคุมการระบาดได้ แต่เหตุใดจึงยังสมควรต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกหากยังไม่เคยฉีดและฉีดเข็มกระตุ้นทันทีเมื่อครบกำหนด

คำตอบคือองค์การอนามัยโลก ออกมาเตือนถึงการระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย “BA.4” และ “BA.5” ในประเทศแอฟริกาและ “BA.2.12.1” ในสหรัฐอเมริการะลอกใหม่ (next wave) โดยนักวิจัยทั่วโลกคาดว่าอาจมีการระบาดเข้ามาแทนที่ BA.2 และมีแนวโน้มสูงที่จะแพร่ไปทั่วโลกเหมือนกับเหตุการณ์การระบาดใหญ่ของโอมิครอนจากประเทศแอฟริกาใต้เมื่อปีที่แล้ว (พฤศจิกายน 2564)
ทีมวิจัยของประเทศแอฟริกาใต้ที่พบโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นผู้พบโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่อุบัติใหม่ BA.4 และ BA.5

จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าแอนติบอดีที่ร่างกายเราสร้างขึ้นจากการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 ตามธรรมชาติ (natural infection) ไม่สามารถปกป้องการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ที่อุบัติใหม่ อย่าง BA.4, BA.5 และ BA.2.12.1 ได้ดี

คนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนแต่เพิ่งหายขาดจากการติดเชื้อ BA.1 พบว่าความสามารถของแอนติบอดีในร่างกายที่จะต่อต้านไวรัส BA.4 และ BA.5 ลดลงมากกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับความสามารถในการต่อต้าน BA.1 ในขณะที่ผู้ที่เคยฉีดวัคซีน (วัคซีนผลิตจากส่วนหนามของไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่น) และเพิ่งหายจากการติดเชื้อ BA.1 ตามธรรมชาติ ความสามารถของแอนติบอดีในร่างกายที่จะต่อต้านไวรัส BA.4 และ BA.5 ลดลงไปเพียง 3 เท่า

อันหมายถึงลำพังแอนติบอดีจากการติดเชื้อ BA.1 ตามธรรมชาติไม่สามารถปกป้องการติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 ได้ดีนัก แต่หากมีการฉีดวัคซีนก่อนและมีการติดเชื้อ BA.1 ร่วมด้วย แอนติบอดีที่ร่างการสร้างขึ้นจะสามารถยับยั้งไวรัส BA.4 และ BA.5 ได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ไม่ป่วยไม่ตาย เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนแต่มีการติดเชื้อ BA.1 ตามธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว

หมายเหตุ: ความสามารถของแอนติบอดีในร่างกายที่จะต่อต้านไวรัส (ในกรณีของไวรัสไข้หวัดใหญ่)ลดลง 8 เท่า เป็นเกณฑ์บ่งชี้ว่าได้มีการสูญเสียความสามารถในการป้องกันต้องมีการปรับปรุงวัคซีน(ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล)อย่างเร่งด่วน

ไวรัส BA.4 และ BA.5 และ BA.2.12.1 มีการกลายพันธุ์ร่วมที่ตำแหน่ง “452” ของจีโนมของพวกมัน ทำให้ส่วนหนามมีความเสถียรมากขึ้นเข้าไปยึดเกาะกับปุ่มที่เรียกว่า “ACE-2 receptor” ที่ผิวเซลล์ของผู้ติดเชื้อได้แน่นขึ้นทำให้สามารถแทรกตัวเข้าไปภายในเซลล์ได้ดีขึ้น

และยังทำให้เซลล์หลายเซลล์มาเชื่อมต่อกัน(cell fusion) กลายเป็นเซลล์ใหญ่เซลล์เดียว (syncytia giant cell) ช่วยให้ไวรัสติดต่อระหว่างเซลล์ต่อเซลล์โดยไม่ต้องออกมานอกเซลล์ให้ถูกแอนติบอดีจับกุมทำลาย ทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนในระหว่างกลุ่มเซลล์ได้อย่างรวดเร็ว

ไวรัส BA.4 และ BA.5 มีการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่ง “486” ด้วยเช่นกัน คาดว่าช่วยให้ไวรัสซ่อนตัวจากระบบภูมิคุ้มกันของเราได้ในระดับหนึ่ง

ส่วน BA.2.12.1 มีการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่ง “704” หน้าที่ยังไม่ชัดเจนคาดว่าจะส่งผลให้เซลล์มาเชื่อมต่อหรือผนังเซลล์มาหลอมรวมกัน(cell fusion)

ดังนั้นในช่วง “พักยก” (จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดลง) จึงควรรีบไปฉีดวัคซีนและเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำหากมีการระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4, BA.5 และ BA.2.12.1 เข้ามาในประเทศไทย เพราะภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมอาจไม่ช่วยปกป้องเรามากนักจากโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน