กรมวิทย์ เผย BA.4-BA.5 แพร่เร็วและรุนแรงกว่า BA.2 สัปดาห์ที่ผ่านมาพบ 68% สัดส่วนเป็น BA.5 มากกว่า BA.4 จ่อทำน้ำยาเฉพาะให้พื้นที่ตรวจเบื้องต้นได้สัปดาห์หน้า

วันที่ 25 ก.ค.2565 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 ว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาวันที่ 16-22 ก.ค. 2565 มีการตรวจเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 468 ราย พบว่าเป็นสายพันธุ์ BA.4-BA.5 จำนวน 320 ราย คิดเป็น 68.38% ถือว่าแซงสายพันธุ์ BA.2 แล้วที่พบ 143 ราย คิดเป็น 30.56% และยังเจอสายพันธุ์ BA.1 อีก 5 ราย คิดเป็น 1.07%

โดยการเก็บตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ เนื่องจากเราไม่ได้ตรวจผู้เดินทางเข้าประเทศ ตรวจเฉพาะเมื่อมีอาการ สำหรับสายพันธุ์ BA.4-BA.5 พบว่าสัดส่วนอยู่ใน กทม.มากกว่า คือ 80% ภูมิภาค 60% แนวโน้มจะเพิ่มขึ้น แสดงว่า BA.4-BA.5 เมื่อเทียบกับ BA.1 และ BA.2 แล้วแพร่เร็วกว่า สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีคนป่วยติดเชื้อมากขึ้น

“การตรวจเบื้องต้นรู้ผลเร็วดังกล่าวไม่สามารถแยก BA.4-BA.5 ได้ หากจะแยกต้องถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว ซึ่งจากการถอดรหัสพันธุกรรมเราพบ BA.5 เยอะกว่าประมาณ 3 ต่อ 1 ดังนั้น เมื่ออนุมานกลับไปก็น่าจะเป็น BA.4 ประมาณ 25% และ BA.5 ประมาณ 75%” นพ.ศุภกิจ กล่าว

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ส่วน BA.4/BA.5 รุนแรงขึ้นหรือไม่ เราเปรียบเทียบกลุ่มอาการไม่รุนแรงและรุนแรงว่าเจอ BA.4-BA.5 มากน้อยเท่าไร ซึ่งจากการตรวจช่วงวันที่ 16-22 ก.ค.2565 ในส่วนของพื้นที่ กทม. ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง 122 ราย เจอ BA.4-BA.5 77.05% กลุ่มอาการรุนแรง คือ ปอดบวม ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิต 54 ราย เจอ 87.04%

นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า ขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัด กลุ่มอาการไม่รุนแรง 345 ราย เจอ 55.61% กลุ่มรุนแรง 53 ราย เจอ 73% ถือว่าอาการรุนแรงมีสัดส่วนสูงกว่า อนุมานว่าถ้าติดเชื้อ BA.4-BA.5 น่าจะมีโอกาสอาการรุนแรงเพิ่มเติมมากกว่า แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ารุนแรงกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ได้ตรวจคนมีอาการน้อยหรือคนไม่มีอาการ แต่สัดส่วนที่ต่างกันประมาณ 10% ก็ไม่ได้ทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากเดิม

“ส่วนหากรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 2-22 ก.ค. พบว่า พื้นที่ กทม.อาการไม่รุนแรง 475 ราย เจอ 76% อาการรุนแรง 101 ราย เจอ 78.22% ซึ่งต่างกัน 2% ส่วนภูมิภาคอาการไม่รุนแรง 774 คน เจอ 41.99% อาการรุนแรง 137 ราย เจอ 59.12% ข้อมูลก็สอดคล้องกันว่า BA.4-BA.5 ทำให้เกิดอาการรุนแรงมากกว่า” นพ.ศุภกิจ กล่าว

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สำหรับสายพันธุ์ BA.2.75 หากดูจากตำแหน่งการกลายพันธุ์ คือ G446S และ Q493R ทำให้เกิดการจับกับเซลล์ปอดมนุษย์มากขึ้น ทำให้ห่วงว่าแพร่ค่อนข้างเร็ว หรือหลบภูมิคุ้มกันได้ อาจติดเชื้อซ้ำหรือวัคซีนมีประสิทธิผลลดลง แต่ทั้งหมดเป็นการดูจากตำแหน่งการกลายพันธุ์ ยังไม่มีข้อมูลจริงว่าเกิดมากน้อยแค่ไหน ต้องติดตามต่อไป

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ส่วนที่พบ BA.2.75 จำนวน 1 ราย คาดว่าอาจจะมีมากกว่านี้ การตรวจจับนั้นในการตรวจเบื้องต้นเรายังไม่สามารถตรวจ BA.2.75 ได้ หากเจอที่ไม่เข้ากับตัวเดิม คือ BA.2 BA.4 BA.5 ก็จะให้ส่งมาถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว แต่ประมาณสัปดาห์หน้าจะผลิตน้ำยาตรวจเฉพาะ BA.2.75 ออกมาเพื่อให้พื้นที่ตรวจเบื้องต้นได้เร็วขึ้น

ขณะนี้ข้อมูลใน GISAID พบรายงาน BA.2.75 ทั่วโลกประมาณ 538 ราย เพิ่มขึ้นจากวันที่ 20 ก.ค. ที่พบประมาณ 300 กว่าราย ถือว่าขึ้นมาอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ขึ้นมากมายอะไร ต้องจับตาดูต่อไป ส่วนกรณีข้อกังวลว่าภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวอินเดียจำนวนมาก ซึ่งประเทศอินเดียมี BA.2.75 จำนวนมากนั้น เราจะขอให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.ภูเก็ต เฝ้าระวังหากเห็นความผิดปกติหลังตรวจเบื้องต้นก็จะส่งมาถอดว่าใช่ BA.2.75 แต่อีกสัปดาห์กว่าก็จะตรวจในพื้นที่ได้เอง ก็จะได้ตัวเลขในไทย

ถ้ามันเริ่มเบียด BA.4-BA.5 ก็แสดงว่าเร็วกว่าก็ต้องมีมาตรการบางอย่าง ระหว่างนี้ชั่งน้ำหนักให้ประเทศเดินหน้าเศรษฐกิจกับสัญญาณยังไม่มีความชัดเจนต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ต้องระวังการรวมกลุ่มมีมาตรการตรวจ ATK ใส่หน้ากาก มีการป้องกันต่าง ๆ ให้รอบคอบรัดกุมขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน