เมียสิบเอก บุกทบ. จี้เอาผิด ผัวทหารโหดทำร้าย กระทืบเกือบแท้ง อ้างฝึกทหารหนักกว่านี้ ทนายยันเอาเรื่องทั้งอาญาและแพ่ง ชี้ผู้หญิงไม่ใช่กระสอบทราย

เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2566 ที่ กองบัญชาการกองทัพบก นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” ได้พา น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 30 ปี ผู้เสียหาย มาติดตามความคืบหน้า หลังถูกอดีตสามีทหารยศสิบเอก ทำร้ายร่างกายขณะตั้งครรภ์ 3 เดือน ทั้งกระทืบเตะต่อย นั่งทับท้องจนซี่โครงร้าว น้ำคร่ำแตก เลือดออกในช่องคลอด จนเกือบแท้งลูก

น.ส.เอ เปิดเผยว่า ตนคบหากับทหารนายหนึ่งยศสิบเอก ซึ่งทักเข้ามาจีบทางออนไลน์ และได้เริ่มคบหากันช่วงเดือนมิ.ย. 2565 ตอนคบหากันในช่วงแรกแฟนดีกับตนทุกอย่างดูแลเป็นอย่างดี จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับแฟน ที่แฟลตในค่ายทหาร จ.ชลบุรี ช่วงประมาณ 5 เดือนแรก แฟนไม่มีพฤติกรรมที่รุนแรง ทำร้ายร่างกาย แต่มักจะหึงหวงตนอยู่ตลอด

จนเริ่มโดนทำร้ายร่างกายครั้งแรก ในช่วงเดือนต.ค. 2565 ไปกินข้าวกับแฟนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ช่วงที่ตนไปเข้าห้องน้ำ แฟนมีอาการมึนเมา คิดว่าตนออกไปโทรคุยกับผู้ชายคนอื่น จึงลากตนไปทุบตี จากนั้นพาขึ้นรถกลับทันที พอมาถึงที่พักในค่ายทหาร แฟนก็ลากตนขึ้นห้องนอน กระทืบซ้ำจนพอใจถึงหยุด ตนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เหมือนแฟนควบคุมสติไม่อยู่

ตอนที่โดนกระทืบ แม่ของแฟนก็อยู่ด้วย พอตนขอร้องให้ช่วยพาไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่มีใครพาไป ทั้งที่ตนเดินแทบไม่ไหว พอแฟนได้สติก็มาขอโทษ แล้วทำร้ายตัวเอง จากนั้นพาตนไปโรงพยาบาล ระหว่างที่หมอกำลังตรวจ แฟนยืนคุมอยู่ตลอด ตนจึงโกหกบอกกับหมอว่าลื่นล้ม โดยหมอวินิจฉัยว่า กระดูกซี่โครงร้าวและมีรอยฟกช้ำตามตัว นอนเป็นไข้ 3-4 วัน แต่สุดท้ายก็ยอมให้อภัยแฟน

ต่อมา เดือนพ.ย. 2565 โดนทำร้ายร่างกายครั้งที่ 2 ขณะที่ตนกำลังคุยโทรศัพท์เรื่องงานกับลูกค้า อยูดีๆแฟนไม่พอใจเข้ามาทำร่างกาย กระโดดถีบตกโซฟา ลากเข้าห้องนอนทุบตีซ้ำอีก โดยครั้งนี้ตนได้รับบาดเจ็บ กระดูกซี่โครงใต้ราวนมร้าว เบาตาเขียว มีรอยช้ำตามตัว พอเช้าวันต่อมาตนเดินทางไปทำงานที่ญี่ปุ่น แฟนโทรมาขอโทษตนก็ให้อภัย

แต่เดือนธ.ค. 2565 โดนทำร้ายร่างกายครั้งที่ 3 ตอนไปดูคอนเสริตด้วยกัน แฟนก็มีอาการหึงหวงใช้โทรศัพท์ฟาดมาที่หน้า โดนจมูกเลือดกำเดาไหล และยังด่าตนกลางงานคอนเสริต แต่ให้อภัยเหมือนเดิม

ต่อมา เดือน ม.ค. 2566 โดนทำร้ายร่างกายครั้งที่ 4 ตนไปงานวันเกิดเพื่อน แต่แฟนไม่พอใจด่าเพื่อน พอตนถามว่าทำไมถึงด่าเพื่อนแบบนั้น แฟนตนกลับบอกว่า ถ้าเลือกเพื่อน มึงต้องรับแทนเพื่อน พอกลับมาถึงโรงแรมแฟนเข้ามากระทืบ หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น พบว่า ตนเริ่มตั้งครรภ์แล้ว








Advertisement

น.ส.เอ บอกอีกว่า จนเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2566 โดนทำร้ายร่างกายครั้งที่ 5 ขณะตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน แฟนมีอาการหึงหวง ขอดูโทรศัพท์ตนก็ให้ไป พอตนดูคืนบ้างเพราะจับได้ว่าแฟนนอกใจ มีผู้หญิงคนใหม่ ก็ไม่พอใจจับตนเหวี่ยงลงเตียง ท้องไปกระแทกกับขอบเตียง ทำให้น้ำคร่ำแตก และยังเหวี่ยงตนขึ้นเตียง กระโดดทับท้อง พร้อมกับบีบคอ

พอตนวิ่งหนีออกมาได้ มาขอร้องให้คนในแฟลตช่วยก็ไม่มีใครช่วย จากนั้นแฟนตามมาดึงหัวตนเข้าห้อง และยังทำร้ายร่างกายซ้ำอีก พอแฟนควบคุมสติตัวเองได้แล้ว ก็พาไปที่โรงพยาบาลชลบุรี ทางโรงพยาบาลตรวจชีพจรเด็กเห็นว่าปลอดภัย แต่มีสภาวะครรภ์ไม่แข็งแรง จึงให้กลับมาพักที่บ้าน พอกลับมาแฟนก็ไล่ตนออกจากบ้าน

ทุกครั้งที่โดนทำร้ายร่างกาย แฟนจะทุบตีจนกว่าจะพอใจ ไม่สนใจว่าตนจะเลือดออก เจ็บหนักขนาดไหน พออ้อนวอนแล้วก็โดนทุบตีเหมือนเดิม โดยแฟนใช้การฝึกของทหาร นำมาใช้กับตนที่บ้าน และยังบอกว่าสิ่งที่ตนโดน มันยังเทียบไม่ได้ เพราะตอนฝึกทหารตัวเองโดนหนักกว่านี้ คนทำชั่วต้องได้รับบทลงโทษ

น.ส.เอ บอกอีกว่า จากนั้นตนก็ย้ายมาอยู่กับน้องสาวที่ จ.ชลบุรี ประมาณ 2 อาทิตย์ แฟนก็โทรมาง้อตลอด ขอให้กลับไปอยู่ด้วย แต่พอกลับไปแฟนบอกก็ยอมรับว่า มีแฟนใหม่แล้ว ตนพยายามบอกว่า ถ้าอยากเป็นครอบครัว ให้เลิกคุยกับผู้หญิงคนอื่นแต่แฟนไม่ยอม ตนจึงเดินทางกลับไปอยู่กับน้องสาว และตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดี

หลังจากนั้นมีผู้ใหญ่ในค่ายทหาร โทรมาขอให้ตนจบเรื่อง โดยบอกว่า เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสามารถพูดคุยกันได้ ไม่ต้องถึงขั้นไปแจ้งความ เพราะมีบทลงโทษเบื้องต้น สั่งขังแฟน 30 วัน แต่มารู้ทีหลังว่าแฟนไม่ได้ถูกลงโทษ ตามที่ผู้ใหญ่บอก เนื่องจากขณะที่แฟนโดนขัง ยังทักมาหายู่เลย ทำให้ตนกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจาก กัน จอมพลัง

ทางด้าน กัน จอมพลัง เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนเข้าไปช่วย มีผู้ใหญ่เข้ามาพูดคุยเจรจา โดยเสนอจะรับผิดชอบช่วยเหลือเยียวยา ซึ่งมีการพูดคุยข้อตกลงกันที่ สโมสรทหารกองทัพบก โดยระบุรายละเอียดว่า สามารถดำเนินคดีทางกฎหมายกับทหารได้เต็มที่ จะมีการจ่ายค่ารักษารวมถึงค่าทำขวัญให้ และจะมีการพักราชการทหารนายนี้ ในระหว่างรอดำเนินคดี ซึ่งเมื่อถูกดำเนินคดีแล้วก็จะไล่ออกจากราชการ

แต่หลังจากนั้น เมื่อมาทวงถามเอกสารข้อตกลง ถูกบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด ยังพบว่าในข้อตกลงเรื่องการพาผู้เสียหายไปรักษาร่างกาย ทางหน่วยงานได้พาผู้เสียหาย ไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่กลับพาไปห้องผู้ป่วยจิตเวช โดยบอกว่า เป็นโรคซึมเศร้ารุนแรง จนผู้เสียหายติดต่อตนมา ถึงจะได้ย้ายไปพักที่ห้องวีไอพี

กัน จอมพลัง บอกอีกว่า หลังจากนั้นทางหน่วยงาน ได้ส่งนักสังคมสงเคราะห์เข้าไปพูดคุย บังคับให้ผู้เสียหายเขียนจดหมายข้อตกลงใหม่ ซึ่งรายละเอียดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ให้ระบุว่า หากมีการรับเงินเยียวยาแล้ว จะไม่สามารถดำเนินคดีกับนายทหารคนดังกล่าวได้ โดยนักสังคมสงเคราะห์คนนี้ บอกว่าให้รับเงินไปจะได้จบๆ กำขี้ดีกว่ากำตด

แต่เมื่อผู้เสียหายทักท้วงว่า ข้อตกลงไม่เหมือนเดิม นักสังคมสงเคราะห์ กลับฉีกกระดาษนั้นต่อหน้าผู้เสียหาย โดยอ้างว่า ผู้เสียหายพูดคุยตกลงกันยาก หลังจากนั้นตนและทีมงาน จึงรีบไปพาตัวผู้เสียหายออกจากโรงพยาบาลทันที โดยพาไปตรวจร่างกายอีกโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่า ผู้เสียหายมีความเครียด แต่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้ารุนแรง และไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับจิตเวช ซึ่งมีเอกสารหลักฐานใบรับรองแพทย์ชัดเจน

กัน จอมพลัง บอกอีกว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าหลังจากที่ตนพาตัวผู้เสียหายมาดูแล ก็มีทหารมาวนเวียนไปที่บ้านของผู้เสียหาย จนทำให้ครอบครัวรู้สึกไม่ปลอดภัยด้วย ทำให้ตนสงสัยว่า พฤติกรรมของนายทหารที่มาพูดคุยทำข้อตกลง รวมถึงพฤติกรรมของนักสังคมสงเคราะห์ผิดปกติหรือไม่หรือว่ามีการช่วยเหลือกันเองในหน่วยงาน

และเมื่อไม่นานมานี้ ก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้บอกว่าเป็นคนของหน่วยงานไหน ติดต่อตนเข้ามาบอกว่า อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจไม่ได้รับความปลอดภัย ซึ่งตัวเองมองว่า หากจะต้องตายที่มาช่วยผู้หญิงและเด็กในครรภ์ 3 เดือน ก็ให้มันรู้ไป

อย่างไรก็ตาม น.ส.อังศวีร์ วัตน์รุจิกร ทนายความ เปิดเผยว่า ในส่วนของคดีความ สามารถที่จะเรียกร้องตามสิทธิ์ได้เต็มที่ ทั้งทางคดีอาญาและแพ่ง ในส่วนของคดีอาญา จะถูกนำไปพิจารณาตามกระบวนการของทหาร ซึ่งตนก็ไม่ได้มีความกังวลใจ เพราะว่า กระบวนการพิจารณาก็เหมือนศาลอาญาทั่วไป

ยืนยันว่า จะดูแลผู้เสียหายให้ดีที่สุด ในด้านกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนก็พร้อมดำเนินการทันที เพราะเป็นผู้หญิงด้วยกัน อยากจะบอกว่า “ผู้หญิงถ้าจะรักก็รัก ถ้าไม่รักก็อย่าทำร้าย เพราะผู้หญิงไม่ใช่กระสอบทราย” น.ส.อังศวีร์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน