บิ๊กโจ๊ก ถอนฟ้อง บิ๊กจ้าว ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ปมขอหมายจับโดยไม่มีอำนาจ หลังศาลอาญาคดีทุจริตฯยกฟ้องคดีที่ฟ้องชุดจับกุมเกือบหมด อ้างเหตุถอนฟ้องเพราะร้อง ป.ป.ช.ไว้เเล้ว

วันที่ 17 พ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานวานนี้ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำสั่งในคดีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผบ.ตร. ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในคดีหมายเลขดำ อท.60/2567 ที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ได้ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. กับพวกรวม 30 คนในฐานความผิด ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ

โดยหลังยื่นฟ้อง ศาลมีกำหนดนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในชั้นตรวจคำฟ้อง ในวันที่ 27 พ.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ เเต่เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2567 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องโดยให้เหตุทำนองว่า เนื่องจากโจทก์ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ดำเนินการไต่สวนกับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนไว้เเล้วจึงขอถอนฟ้อง โดยศาลพิจารณาคำร้องเเล้วอนุญาตให้ถอนฟ้องได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้ชุดตำรวจที่ไปพัวพันคดีเว็บการพนันเเละถูกจับกุมซึ่งเป็นลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นฟ้องชุดพนักงานสอบสวนและชุดจับกุมหลายคดีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในศาลอาญาคดีทุจริตฯซึ่งศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องมาโดยตลอด

ทั้งนี้เนื้อหาคำฟ้องที่เคยยื่นต่อศาลอาญา ระบุว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่ง ผบช.น. และเป็นผู้ออกคำสั่งแต่งตั้ง จำเลยที่ 2-27 เป็นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งที่ 58/2567 ลงวันที่ 1 ก.พ.2567 โดยจำเลยที่ 2- 28ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้า รองหัวหน้า พนักงานสืบสวน และพนักงานสอบสวน

ซึ่งข้อเท็จจริงแห่งคดีอาญาที่ 724 คดีเว็บมินนี่ มีเส้นการเงินของบัญชีทั้ง 3 ชื่อ ได้แก่ น.ส.เบญจมิน พยานในคดีเว็บมินนี่ , นายสมพงษ์ พยานในคดี และนายพุฒิพงษ์ ผู้ต้องหาในคดีเว็บมินนี่ ต่อมา คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งสำนวนในคดีอาญาเลขที่ 724/2566 ของบก.สอท.1

กรณีการกล่าวหา พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รองผบก.สส.ภ.4 กับพวกในข้อหาเรียกรับผลประโยชน์จากเว็บไชต์การพนันออนไลน์ กระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงินต่อคณะกรรมการ ปปช.ตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 61 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องกล่าวหาอยู่ในหน้าที่และอำนาจของ ป.ป.ช.

แต่ผู้ถูกกล่าวหามิได้ดำรงตำแหน่งสูงและยังไม่เข้าข่ายความผิดร้ายแรง จึงมีมติให้ส่งเรื่องดังกล่าวคืนคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ เเล้วรายงานผลให้ ป.ป.ช.ต่อไป ตามและคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ทำการสอบสวนและได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตสำนักงานอัยการสูงสุด แล้ว

ต่อมาในระหว่างที่มีการดำเนินคดีอาญาที่ 724/2566 คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้มอบหมายให้จำเลยที่ 29 และ 30 ผู้กล่าวหา มาร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 16 ที่ สน.เตาปูน มีการกล่าวหา พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ,น.ส.เบญจมิน ,นายพุฒิพงษ์ และ น.ส.พิมพ์วิไล กับพวกรวม 7 คน ในความผิดฐาน “สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันนั้น

จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 29 และ 30 ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อจำเลยที่ 16 โดยนำข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งที่อยู่ในคดีอาญาที่ 724/2566 หรือเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนขยายผลในคดีอาญาที่ 724/2566 ของ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อันเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในท้องที่ต่างๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไป และเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรม กระทำลงในท้องที่ต่างกัน

และยังเป็นความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกันโดยปรากฏว่าความผิดหลายฐานได้กระทำลงโดยผู้กระทำผิดคนเดียวกัน หรือผู้กระทำผิดหลายคนเกี่ยวพันกันในการกระทำความผิดฐานหนึ่งหรือหลายฐาน จะเป็นตัวการผู้สมรู้ร่วมคิดก็ตาม มาดำเนินคดีเป็นคดีขึ้นใหม่กับโจทก์

จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้ถูกกล่าวหา ถูกกล่าวหาในหลายท้องที่ และเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ส่งสำนวนนี้ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน ตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 61

ต่อมาวันที่ 27 ธ.ค. 2566 คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้ส่งสำนวนในกรณีกล่าวหาโจทก์กับพวกรวม 5 คน ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือ ยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดฯ ,เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ฯสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน

จากนั้นวันที่ 2 ก.พ. 2567 หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้มีหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อขอทราบมติของ ป.ป.ช.เกี่ยวกับเรื่องที่มีการกล่าวหาโจทก์กับพวกรวม 5 คน โดยคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เห็นว่า คดีที่ร้องทุกข์กล่าวโทษโจทก์กับพวกรวม 5 คน เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกันกับสำนวนการสอบสวนคดีเดิม (พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย กับพวก)

โดยมีผู้ต้องหาเพิ่มเติมบางคนเป็นถึงข้าราชการตำรวจชั้นใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถือได้ว่ากลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นผู้ต้องหาบางคน รวมถึงช่วยเหลือ สนับสนุน เจ้าของเว็บไซต์การพนัน ให้สามารถเปิดเว็บไซต์ จึงเป็นการร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันฯ, เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดฯ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามข้อกล่าวหา

ดังนั้น สำนวนการสอบสวนที่ ป.ป.ช. ส่งคืนให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน จึงเป็นเรื่องเดียวกันกับสำนวนการสอบสวนที่กล่าวหาโจทก์กับพวกรวม 5 คน ว่าการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเพิ่มเติม เพราะเป็นการดำเนินการกับตัวการ ใช้ ผู้สนับสนุน และเป็นคดีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวข้องกันและความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน โดยขอรับสำนวนการสอบสวนคืนจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อมาทำการสืบสวนสอบสวน

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน