นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ปตท. มีมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของ ปตท. โดยให้แยกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกมาอยู่ในภายใต้บริษัท ปตท. ธุรกิจค้าปลีก จำกัด หรือ ‘PTTRB’ ซึ่งทำการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด หรือ ‘PTTOR’ เนื่องจากผลพวงจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมธุรกิจพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจน้ำมันให้มีความแข็งแกร่งให้สามารถขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกอย่างจริงจัง โดย ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท PTTOR ดังกล่าว

ทั้งนี้ ธุรกิจที่ถูกโอนย้ายเข้าไปอยู่ภายใต้บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด ประกอบด้วย 1.ธุรกิจน้ำมัน ซึ่งค้าปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการทั้งในและต่างประเทศ ค้าเชิงพาณิชย์น้ำมัน และก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และเชื้อเพลิงอื่น อาทิ จำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยาน จำหน่ายแอลพีจีในครัวเรือนและสถานีบริการ จำหน่ายเชื้อเพลิงหล่อลื่นทั้งในและต่างประเทศ และบริหารโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจน้ำมัน อาทิ ด้านขนส่งหรือจัดเก็บ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ตอบสนองต่อลักษณะการเติบโตของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ในส่วนของราคาขายปลีกน้ำมันและแอลพีจี จะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด โดยยังคงเคลื่อนไหวขึ้น-ลงตามกลไกราคาตลาดโลกและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน

2.ธุรกิจค้าปลีกด้านอื่นๆ และให้บริการด้านบำรุงรักษายานยนต์ ครอบคลุมการบริหารค้าปลีกและงานขายภายใต้แบรนด์ ปตท. และอื่นๆ อาทิ คาเฟ่อเมซอน ฟิตออโต้ รวมถึงริเริ่มสร้างธุรกิจใหม่เพิ่มมากขึ้น เช่น ร้านอาหาร เครื่องดื่ม แฟรนไชส์และโรงแรม สอดคล้องกับนโยบายของ ปตท. ที่จะเข้าไปมีส่วนช่วยยกระดับและพัฒนาภาคธุรกิจราย่อยของไทย ทั้งเอสเอ็มอีและโอท็อป โดยเฉพาะในโครงการประชารัฐก็ยังคงนโยบายส่งเสริมเช่นเดิม เห็นได้จากสินค้าภายใต้แบรนด์ ปตท. ที่เกิดจากการต่อยอดผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบจากเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการในท้องถิ่น เช่น เมล็ดกาแฟในร้านคาเฟ่อเมซอน เป็นต้น

“การแยกธุรกิจครั้งนี้ ทำให้มีความชัดเจนเรื่องธุรกิจที่ต้องมีการแข่งขัน และการดูแลด้านความมั่นคงของพลังงาน ช่วยให้สามารถขยายธุรกิจไปลงทุนในต่างประเทศได้คล่องตัวขึ้น ผู้ประกอบการรายย่อยจากท้องถิ่นที่เป็นพันธมิตรกับ ปตท. ก็จะออกไปสู่ภูมิภาคอื่นด้วยกัน ทำให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทเตรียมนำเสนอการปรับโครงสร้างธุรกิจ ปตท. ต่อหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนเรียกประชุมผู้ถือหุ้นของ ปตท. ในช่วงเดือนเม.ย.2560 เพื่อพิจารณาอนุมัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป”นายเทวินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างธุรกิจ ปตท.ในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความชัดเจน โปร่งใส ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ในสายตาสาธารณชน อีกทั้งยังช่วยให้หน่วยธุรกิจน้ำมันมีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และสามารถปรับตัวกับสถานการณ์การแข่งขันที่สูงขึ้นได้ทันท่วงที โดยยืนยันไม่ส่งผลกระทบต่อบุคลากรหน่วยธุรกิจน้ำมันขององค์กรที่ปัจจุบันมีประมาณ 1,500 คน จากบุคลากรทั้งหมดมีอยู่กว่า 4,000 คน เพราะการโอนย้ายจะเสนอค่าตอบแทนตามความเหมาะสมที่พนักงานพึงพอใจ และให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแต่ละคนจะตัดสินใจโอนย้ายหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ ปตท. PTTOR จะเป็นบริษัทแกนในการประกอบธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกในอนาคต โดยมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และจะดำเนินการกระจายหุ้นสู่ประชาชนอย่างทั่วถึงเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกของบริษัทผ่านการลงทุนในหุ้นของ PTTOR ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ในบริษัทดังกล่าวลดลงเหลือน้อยกว่า 50% เพื่อลดสถานะไม่ให้เป็นรัฐวิสาหกิจ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน