นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการปาฐกถาเรื่อง การบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจไทยอย่างโปร่งใส จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) ที่โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น พลัส วันดา แกรนด์ ถ.แจ้งวัฒนะ ว่าปัจจุบันรัฐวิสาหกิจไทยมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในหลายด้าน ทั้งการมีขนาดสินทรัพย์รวมกันถึง 13 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับขนาดจีดีพีของประเทศ และยังมีขนาดใหญ่ทั้งทางรายได้และรายจ่าย โดยมีรายได้ปีละ 5 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่ารายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐที่ 2.3 ล้านล้านบาท รายจ่ายปีละ 4.7 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ 2.7 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 6 แห่ง มูลค่าตลาดรวมประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดรวม เนื่องจากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท. ธนาคารกรุงไทย การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย(ทอท.) เมื่อหุ้นรัฐวิสาหกิจปรับตัวขึ้นหรือลงก็มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นค่อนข้างมาก

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหาเช่นตอนนี้ที่เอกชนยังระมัดระวังในการลงทุน รัฐวิสาหกิจก็มีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศ เห็นได้จากใน 2 ไตรมาสแรกของปีที่ที่ขยายตัวได้ 3.2%และ3.5% ก็รอดมาได้ด้วยรัฐวิสาหกิจ และล่าสุดนี้ได้ร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)เรียกประชุม รัฐวิสาหกิจขอให้ทุกแห่งขับเคลื่อนการลงทุน นำโครงการที่อยู่ในแผนที่จะลงทุนอยู่แล้วส่วนไหนเริ่มดำเนินการได้ก็ให้ทำก่อน เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจหมุนไปได้ในช่วงที่การส่งออกและการลงทุนเอกชนยังขยับได้ไม่ดี

ในช่วงที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนเพื่อสร้างอนาคตของประเทศนี้รัฐวิสาหกิจก็จะมีบทบาทสำคัญเพื่อเป็นด่านหน้าในการลงทุนในกิจการเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลอีโคโนมี การลงทุนในรถไฟ รถไฟฟ้า จะเป็นส่วนที่ดึงเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนผ่านการลงทุนร่วมภาครัฐและเอกชน(PPP) รัฐบาลมีเงินใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากที่รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ปีละประมาณ 1แสนล้านบาท สังคมมีน้ำ ไฟ โครงสร้างพื้นฐานใช้ทำให้ชีวิตคนไทยสะดวกสบาย เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง มีรัฐวิสาหกิจเป็นเสาหลัก ส่วนนี้อาจจะไม่ค่อยมีใครมองนัก

นายสมคิด กล่าวอีกว่า การที่รัฐวิสาหกิจมีบทบาทสูง มีความจำเป็นที่ต้องทำให้รัฐวิสาหกิจแข็งแรง ซึ่งต้องยอมรับว่าขณะนี้เรื่องหนี้สินของรัฐวิสาหกิจนั้นยังสูงเป็นล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะทำให้รัฐวิสหกิจแข็งแรง สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ มีพลังและมีกำไรพอสมควร จากปัจจุบันที่อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจยังอยู่ในระดับต่ำมากคือ 1% กว่าเท่านั้น ทั้งนี้เพราะมีทั้งรัฐวิสาหกิจที่ผลกำไรดีและที่ขาดทุนมหาศาล ซึ่งจำเป็นที่ต้องทำให้ส่วนหลังนี้แข็งแรงขึ้น โดยการดำเนินการ 2 ส่วนคือ การเพิ่มความโปร่งใส การเพิ่มธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจผ่านการดูแลของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) โดยให้รัฐวิสาหกิจจะต้องทำแผนการบริหารจัดการระยะ 5 ปี โดยมีกระทรวงการคลัง โดย สคร. เข้าไปร่วมจัดทำแผนตั้งแต่เริ่มแรก จากเดิมที่ต่าคนต่างทำแล้วเสนอไปยังสภาพัฒน์ ซึ่งสภาพัฒน์เองมีกำลังคนไม่เพียงพอที่จะมาติดตาม

นอกจากนี้ ยังดำเนินการกำกับผ่านบรรษัทวิสาหกิจกแห่งชาติ หรือซุปเปอร์โฮลดิ้งที่กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ถือหุ้นในโฮลดิ้งทั้ง 100% และมีคณะกรรมการชุดหนึ่งที่ผ่านการคัดเลือกเป็นอย่างดีเข้ามาดูแลการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงการตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสหกิจที่ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติความรู้เกี่ยวกับกิจการไม่ใช่ใครก็ได้ที่การเมืองส่งเข้ามา การบริหารงานของรัฐวิหกิจจะต้องมีความเป็นมืออาชีพ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน