‘สมคิด’ ชี้เริ่มเห็นสัญญาณลมพายุทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นทั่วโลก ศก.ญี่ปุ่น-เยอรมันติดลบ เจอพิษสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ พร้องสั่งคลังทบทวนแอลทีเอฟ

เห็นสัญญาณลมพายุเศรษฐกิจ – นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานมหกรรมการลงทุนแห่งปี SET in the City ครั้งที่ 14 ซึ่งจัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ขณะนี้เริ่มมีลมพายุเริ่มเข้ามาในตลาดทุนโลก และเริ่มเห็นสัญญาณลมพายุทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นทั่วโลกที่มีความผันผวน โดยเห็นได้จากเศรษฐกิจญี่ปุ่น ไตรมาส 3 เริ่มติดลบ -1.2% ทั้งที่ไตรมาส 2 ยังเป็นบวกอยู่ และล่าสุดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ก็ติดลบ -0.5% เช่นกัน สะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ และผลที่เกิดจากความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่

แต่อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ไทยแข็งแกร่งมาก โดยในบรรดาตลาดหุ้นในประเทศเอเชียทั้งหมด ตลาดหุ้นไทยเป็นรองแค่ญี่ปุ่น ตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่งและมีผลการดำเนินงานที่ดี กำไรสุทธิโดยเฉพาะเกินกว่า 10%, มีเงินผันลสูง และมีสภาพคล่องสูง มีการระดมทุนผ่านตลาดทุนไทยสูงที่สุดในอาเซียน ที่สำคัญเหนือกว่าสิงคโปร์

นายสมคิด กล่าวอีกว่า ภายใต้ลมพายุที่กำลังก่อตัวขึ้นในขณะนี้ ยังมีโอกาสแห่งอนาคตของตลาดทุนไทยแฝงอยู่ในนั้น เพียงแต่ต้องมองให้ทะลุ เพราะผลจากสงครามการค้า ก็ถือเป็นโอกาสของประเทศไทย ทำให้จีนและญี่ปุ่น ประกาศร่วมลงทุนกันในประเทศที่ 3 อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสนใจจะมาลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ไทยมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น

นายสมคิดยังกล่าวถึงเรื่องกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ที่จะหมดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสิ้นปี 2562 โดยจะให้กระทรวงการคลังพิจารณาจะเป็นรูปแบบใด เพื่อให้เหมาะกับคนทุกวัยเพราะกองทุนลักษณะนี้ช่วยเรื่องการออมและเพิ่มจำนวนนักลงทุนใหม่ ส่วนกรณีที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เสนอจัดตั้งกองทุนใหม่ โดยจะเน้นลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน นั้นได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาเป็นพิเศษ และให้ปรับหรือประยุกต์ให้มีความทันสมัย เพื่อให้โอกาสทั้งคนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุ เข้ามาลงทุนเพื่อการออมในระยะยาวสำหรับอนาคตข้างหน้าได้

นายสมคิด กล่าวด้วยว่า ฝากให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยกระดับเป็นศูนย์กลางการระดมทุนของอาเซียน โดยจะต้องดึงบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศมาจดทะเบียนในประเทศไทย โดยให้ทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กระทรวงการคลัง ด้วย

ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า สำหรับการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีกองทุนแอลทีเอฟ ที่จะเกิดขึ้นในสิ้นปี 2562 นั่น คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น เนื่องจากถ้าคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนถือว่ามีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายรวมของตลาด ซึ่งแรงซื้อของแอลทีเอฟ จะกระจุกตัวในช่วงปลายปี-ต้นปี โดยช่วงที่เงินเข้ามามากสุดประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อเดือน เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นเฉลี่ยวันละ 5-6 หมื่นล้านบาท ทำให้ไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก

สำหรับงาน SET in The City ครั้งที่ 14 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 พ.ย.นี้ ที่ รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ภายใต้แนวคิด “สร้างอนาคตการลงทุน ให้เหนือกว่าที่เคย” ซึ่งจะนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลงทุนจากพันธมิตรกว่า 100 องค์กร เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน การออมให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับตลาดทุนไทยระยะยาว คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงาน 120,000-130,000 คน และมีฐานนักลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 100,000 ราย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน