‘กฤษฎา’ เผยเกษตรกรเข้าร่วมโครงการข้าวโพดหลังนาแล้วกว่า 8 หมื่นราย 7 แสนไร่ สั่งเกษตรจังหวัดสำรวจเปอร์เซ็นต์งอก ตั้งจุดรับซื้อ ดันร่วมระบบประกันภัย หวั่นการเมืองกระทบ ขณะสมาคมอาหารสัตว์อ้าแขนรับซื้อ

หวั่นข้าวโพดหลังนาล้มเหลว – นายกฤษฎา บุญราช รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการปลูกข้าวโพดหลังนาแล้ว 85,422 ราย พื้นที่ 783,269.75 ไร่ คิดเป็น 72.64% ของผลสำรวจความต้องการของเกษตร ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ 116,958 ราย พื้นที่ 1,015,845.25ไร่ โดยจะเปิดรับสมัครไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค. 2562 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการปลูก หากปลูกหลังจากนี้ จะมีความเสี่ยงหลังการเก็บเกี่ยวได้

ทั้งนี้ โครงการปลูกข้าวโพดหลังนาตั้งเป้าดำเนินการใน 33 จังหวัด พื้นที่ปลูก 2.5 ล้านไร่ โดยรัฐบาลสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 0.01% วงเงินไม่เกิน ไร่ละ 2,000 บาท รายละไม่เกิน 15 ไร่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการดังกล่าวดำเนินการต่อเนื่องมาก่อนหน้านี้ 2 ปี แต่ไม่ประสบผลสำเร็จทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม ดังนั้นเพื่อผลักดันให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไปได้ ขอให้เกษตรจังหวัด เร่งตรวจสอบแปลงข้าวโพดที่ร่วมโครงการว่าปลูกไปแล้วทั้งหมดกี่ไร่ พร้อมตรวจสอบเปอร์เซนต์การงอกอาจมีการใช้เมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีคุณภาพ

ให้ตรวจสอบการตั้งจุดรับซื้อผลผลิตไม่ให้อยู่ห่างจากพื้นที่ปลูกเกินไป อย่างที่เคยเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน และเป็นสาเหตุที่ทำให้โครงการดังกล่าวล้มเหลว ให้ประสานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเข้าสู่ระบบการประกันภัยพืชผล รวมทั้งให้พิจารณากรมธรรม์อย่างละเอียด ลักษณะการเสียหายอย่างไร จึงสามารถเคลมประกันได้ ไร่ละ 1,500 บาทไม่รวมกับเงินชดเชยกรณีที่เกิดภัยพิบัติขึ้น

และให้สำรวจการทำสัญญาระหว่างเอกชนกับเกษตรมีความเป็นธรรมหรือไม่ แม้ว่าโครงการนี้จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายพันธสัญญาหรือคอนแทรคฟาร์มมิ่งก็ตาม

“ผมได้รับรายงานจากฝ่ายปกครองในพื้นที่ว่า ขณะนี้มีเอกชนหลายรายเข้าเจรจาร่วมขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดกับสหกรณ์และสถาบันเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรซื้อในราคาแพง ซึ่งผมจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ขออย่างเดียวเมื่อราคาสูงแล้วคุณภาพต้องดีด้วย ในขณะที่เกษตรจังหวัดต้องให้คำปรึกษา สำรวจตรวจสอบ เพื่ออุดรูรั่วทั้งหมดของโครงการ ส่วนหนึ่งสถานการณ์ไทยกำลังเข้าสู่โหมดการเมืองหลัง วันที่ 7 ธ.ค. นี้ จะเปิดให้หาเสียงได้ ดังนั้นทุกอย่างต้องเตรียมพร้อม”

นายบุญธรรม อร่ามศิริวัฒน์ เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า ในปีนี้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไทยต้องการข้าวโพดเป็นวัตถุดิบประมาณ 8.5 ล้านตัน ในขณะที่ผลผลิตในประเทศมีเพียง 4.5-5 ล้านตัน ดังนั้นสมาคมจึงยินดีเข้าร่วมโครงการข้าวโพดหลังนาครั้งนี้ ซึ่งผลผลิตที่ได้จะมีคุณภาพความชื้นต่ำ โดยจะตั้งจุดรับซื้อในทุกจังหวัด ราคาตามคุณภาพที่กรมปศุสัตว์กำหนด ซึ่งราคาข้าวโพดเบอร์ 2 ความชื้น 14.5% ในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัม (ก.ก.) ละ 8 บาท

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสมาชิกบางรายของสมาคม ไม่มีเครื่องอบลดความชื้นดังนั้นจึงต้องขอความร่วมมือกับสหกรณ์และสถาบันเกษตรที่มีความพร้อมให้ช่วยเหลือปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งความต้องการข้าวเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ในแต่ละปีจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10-15% ตามการขยายตัวของภาคปศุสัตว์ ในขณะที่ไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารสัตว์ และส่งออกในอาเซียนด้วย

น.ส.บุญญานาถ นาถวงษ์ อุปนายกสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย กล่าวว่า ในขณะนี้ได้แจ้งให้กับสมาชิกรับทราบถึงการเข้าร่วมโครงการปลูกข้าวโพดหลังนาแล้ว และให้ทุกรายลดราคาตามแผนโปรโมชั่นของแต่ละบริษัทและตัวแทนจำหน่ายแล้ว โดยเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรรับซื้อผ่านร้านค้าที่รับรองโดยกระทรวงเกษตรฯนั้นถือว่ามีคุณภาพที่ดีที่สุด เป็นยอมรับของเกษตรกรทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นตลาดหลักการส่งออกเมล็ดพันธุ์ของไทย

ทั้งนี้ เกษตรกรไม่ควรซื้อเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ผ่านการรับรองหรือเรียกทั่วไปว่า ถุงขาว เพราะเปอร์เซ็นต์งอกต่ำ ผลผลิตน้อย แม้ว่าราคาจะต่ำกว่า แต่ก็ไม่คุ้มกับการลงทุน โดยทั่วไป การใช้เมล็ดพันธุ์คิดเป็น 13-15% ของต้นทุนการผลิต ไร่ละ 4,000 บาทเท่านั้น การใช้เมล็ดพันธุ์ที่ดีจะให้ผลิตมากถึง 1-1.1 ตันต่อไร่ สูงกว่าเมล็ดพันธุ์ถุงขาวที่ให้ผลผลิตประมาณ 600-800 ก.ก.ต่อไร่เท่านั้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน