คาดเงินเลือกตั้งสะพัด 8 หมื่นล้าน ช่วยพยุงเศรษฐกิจ ปีหน้าโตทะลุ 4% เอกชนหวั่นรัฐบาลใหม่โละยุทธศาสตร์ชาติ หวั่นแผนลงทุนชะงัก ห่วงสงครามการค้าสหรัฐ-จีนยืดเยื้อกระทบส่งออกไทยปีหน้า

เลือกตั้งสะพัด 8 หมื่นล้าน – นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศไทยปีนี้น่ามีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 4.3% ส่วนปีหน้าคาดน่าจะยังขยายตัวได้ดี เนื่องจากรัฐบาลได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 การพัฒนาพื้นที่อีอีซี การพัฒนาสนามบิน การก่อสร่างรถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ ซึ่งเป็นเงินลงทุนนับแสนล้านบาท น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้เป็นอย่างดีและยังจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่จะใข้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลจะมีการจัดเลือกตั้งในช่วงเดือนก.พ. ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจมากขึ้น โดยหลังจากที่รัฐบาลประกาศจะมีการเลือกตั้งนั้นเริ่มมีสัญญาณของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเรื่อยๆ

“รัฐบาลชุดปัจจุบันมีการวางแผนการทำงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นทิศทางที่ดี แต่สิ่งที่เรานักลงทุนต้องการเห็นคือความเป็นรูปธรรมของแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ว่าจะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไรให้เกิดผล เอกชนไม่ต้องการให้มีการรื้อโครงการหรือรีวีวโครงการใหม่ เพราะหลายเรื่องมีการเดินหน้ามาถูกทางแล้ว และที่ผ่านมาภาครัฐและเอกชนต่างทำงานร่วมกันมาโดยตลอด แต่สิ่งที่เอกชนเป็นห่วงคือสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ยังคงยืดเยื้อแม้ว่าจะไม่กระทบกับการค้าของไทยแต่ถ้าสงครามการค้ายังเกิดขึ้นต่อเนื่องอาจจะกระทบกับการค้าทั่วโลกซึ่งจะรวมถึงไทยด้วย แต่ทั้งนี้ เอกชนเองยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยยังคงมั่นคงและจะค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง ส่วนการส่งออกไทยในปีนี้คาดว่าน่าจะขยายตัว 8% ขณะที่ปีหน้าน่าจะขยายตัว 6-8% ทั้งนี้ สงครามการค้าที่เกิดขึ้นขณะนี้อาจจะส่งผลดีต่อไทยที่จะมีการย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคตด้วย”

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2561 และแนวโน้มปี 2562 ว่า คาดว่าเศรษฐกิจในปี 2562 จะขยายตัวในกรอบ 3.8-4.2% และความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเศรษฐกิจขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4% เนื่องจะได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายของพรรคการเมืองและหัวคะแนน ในการเลือกตั้ง มูลค่า 80,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส. มูลค่า 40,000 ล้านบาท และการเลือกตั้งท้องถิ่นอีก มูลค่า 40,000 ล้านบาท

“เงินสะพัดจากการเลือกตั้งนั้นคาดว่าจะช่วยดันจีดีพีในปีหน้าได้เพิ่มอีก 0.5% เพราะเชื่อว่าการเมืองแข่งขันกันดุเดือด ทำให้มีเงินสะพัดเป็นพิเศษ ทั้งค่าใช้จ่ายในการจ้างคนเดินตาม ทำป้ายหาเสียง และทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจในท้องถิ่นกลับมาคึกคักได้ระดับหนึ่ง”

นอกจากนี้ ยังมีเม็ดเงินการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาระเบีบงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี อีก 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยเป็นภูมิคุ้มกันผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าโลก ได้เป็นอย่างดี รวมถึงผลกระทบที่คาดการณ์ว่าคณะกรรมนโยบายการเงิน หรือ กนง. อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายไตรมาส 2

ส่วนเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.5-4% เพราะเป็นช่วงไฮซีซันการท่องเที่ยวแม้ว่านักท่องเที่ยวจีนยังเบาบางแต่นักท่องเที่ยวชาติอื่นก็ได้กลับมาเที่ยวตามปกติแล้ว รวมถึงเม็ดเงินการทำกิจกรรมพรรคการเมืองจะสะพัดบ่างส่วน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีจะขยายตัวได้ 4-4.2%

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน