ก.อุตฯ ยกเครื่องล้างบางสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด จัดชุดตรวจลงพื้นที่เอกซเรย์จุดเสี่ยง เผย 1,000 โรงงานขานรับเข้มข้นตลอด 3 เดือน

ก.อุตฯ ล้างบางสารตั้งต้นยาเสพติด – นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจัด “โครงการโรงงานทั่วไทยร่วมใจต้านภัยยาเสพติด ดำเนินการในช่วงระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือนพ.ย. 2561-ม.ค. 2562 ตามนโยบายคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรม แบ่งเป็น 2 มิติ ได้แก่ มิติการเฝ้าระวังและป้องกัน โดยการควบคุมดูแล การนำเข้าและส่งออกสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ที่ใช้ผลิตยาเสพติด 20 รายการตามบัญชีแนบท้าย ประกาศกระทรวงยุติธรรม และมีมาตรการกวดขันเพิ่มมากขึ้น ทั้งการผลิต การนำเข้าและส่งออก และครอบครอง พร้อมทั้งการเน้นเข้าตรวจสอบสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสารโซเดียมไซยาไนด์ทุกโรง และตรวจหาสารเสพติดกับพนักงานอย่างเข้มข้น ตั้งเป้าหมายเชิญชวนโรงงานทั่วประเทศเข้าโครงการอย่างน้อย 1,000 โรง คนงาน 50,000 คน

มิติการปราบปราม นอกจากการลงพื้นที่ตรวจกำกับดูแลโรงงานตามแผนการตรวจของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว ยังจะบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจค้นยาเสพติดในโรงงานกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในพื้นที่แพร่ระบาด 324 อำเภอ ใน 64 จังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ซึ่งจะดำเนินการรูปแบบเดียวกับการจัดการปัญหา ขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกในช่วงที่ผ่านมา

โดยในปี 2561 พบข้อมูลการนำเข้าอยู่ที่ 9.5 แสนเมตริกตัน ลดลงจากปีก่อนที่นำเข้าทั้งสิ้น 1.1 ล้านเมตริกตัน การส่งออกอยู่ที่ 6.2 แสนเมตริกตัน ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 7.7 แสนเมตริกตัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะเน้นการตรวจสถานประกอบการที่มีใบอนุญาตนำเข้า ส่งออกและมีไว้ในครอบครองสารโซเดียมไซยาไนด์ทุกราย หากพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

ด้านนายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการศึกษาทางวิชาการ สารโซเดียมไซยาไนด์สามารถนำไปใช้ผลิตยาบ้าได้ ซึ่งส่วนใหญ่มีการลักลอบนำสารดังกล่าว ออกผ่านเส้นทางธรรมชาติในลักษณะกองทัพมด ซึ่งแต่ละครั้งจะพบปริมาณมากขึ้น และไม่ได้เข้าผ่านทางช่องทางปกติ ที่มีกระทรวงฯ กำกับดูแลภายใต้กฎหมาย พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯ ได้พิจารณาเพิ่มมาตรการควบคุมดูแลที่เข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น เริ่มจากสารโซเดียมไซยาไนด์ เพื่อเป็นการสกัดกั้นการนำไปใช้ผลิตยาเสพติดตั้งแต่ต้นทางอย่างเร่งด่วนและทันท่วงที

ทั้งนี้ แบ่งการทำงานเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน กระทรวงฯ ร่วมกับหน่วยปราบปรามเข้าตรวจ ทั้งการนำเข้า : กรณีนำไปใช้ในโรงงาน ต้องจัดเตรียมข้อมูลกระบวนการผลิต และต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ตลอดเวลา กรณีนำเข้าเพื่อจำหน่ายจะมีอายุใบอนุญาตไม่เกิน 1 ปี และเพิ่มเงื่อนไขการอนุญาตโดยให้แจ้งชื่อลูกค้า และวัตถุประสงค์การนำไปใช้ ส่วนการส่งออก : จะพิจารณาออกใบอนุญาตเป็นรายครั้ง แทนการอนุญาตเดิมซึ่งกำหนดไว้ 3 ปี และให้แจ้งข้อมูลผู้ซื้อ ที่อยู่ และวัตถุประสงค์การนำไปใช้ โดยกระทรวงฯ จะประสานข้อมูลไปยัง สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อทำการตรวจสอบใช้ประกอบการพิจารณาอนุญาต ส่วนระยะกลาง จะเชิญประชุมผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงข้อมูลแนวทางและมาตรการที่จะดำเนินการเพิ่มเติม เพื่อถือเป็นระเบียบปฏิบัติต่อไป และระยะยาว ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงบัญชีรายชื่อสารเคมีตามแบบ วอ./อก.7 เพื่อทำให้ทราบวัตถุประสงค์การนำไปใช้งาน และศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลของสารเคมีที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากข้อมูลผู้ประกอบการ และปริมาณการนำเข้า-ส่งออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง” นายสุรพล กล่าว

สำหรับโครงการโรงงานทั่วไทยร่วมใจต้านภัยยาเสพติด เป็นการดำเนินการโดยมีสถานประกอบการกว่า 1,000 โรงงานเข้าร่วม และมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 6 หน่วยงานร่วมกันขับเคลื่อนโครงการในระยะ 3 เดือน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน