นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง. เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2560 มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี เนื่องจากประเมินว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก โดยเฉพาะการฟื้นตัวจากเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเปราะบาง และความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจประเทศหลัก การดำเนินนโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อเนื่อง และพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโดยรวม

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มดีขึ้น จากการส่งออกสินค้าที่เริ่มฟื้นตัว และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด ขณะเดียวกันการใช้จ่ายของภาครัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ จะเห็นได้จากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2561 ที่ยังจะทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่อง ส่วนการฟื้นตัวการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ

“กนง. ได้สั่งให้ไปประเมินสถานการณ์ผลกระทบในด้านต่างๆ ต่อเศรษฐกิจไทย ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจะถูกนำไปรวมในการประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปี 2560-2561 ในเดือน มี.ค. ด้วย แต่เชื่อว่านโยบายหลายเรื่องจะยังไม่สามารถทำได้ทันที เช่น มาตรการกำแพงภาษี การยกเลิกข้อตกลงการค้าที่ยังมีองค์การค้าโลก (WTO) คุมอยู่ ทำให้ไม่สามารถคิดจะทำอะไรก็ได้”นายจาตุรงค์ กล่าว

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้เข้ากลับสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2559 ที่ 1% และมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น โดยเดือนม.ค. 2560 อยู่ที่ 1.55% ใกล้เคียงกับกรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อที่วางไว้ เป็นผลมาจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนเงินเฟ้อฟื้นฐานยังทรงตัว ส่วนการเคลื่อนย้ายเงินทุนและอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงที่ผ่านมายังมีความผันผวน ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลคู่แข่ง เป็นผลมาจากค่าเงินสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าในช่วงต้นปี 2560 และอาจไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย โดย กนง. ยังไม่วิตกกังวลและมีเครื่องมือดูแลในช่วงที่เหมาะสม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน