กนง. คงดอกเบี้ยสกัดหนี้ครัวเรือนเริ่มพุ่ง โดยมาจากการเร่งตัวขึ้นของสินเชื่อรถยนต์ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสินเชื่อที่อยู่อาศัย

กนง. คงดอกเบี้ยสกัดหนี้ครัวเรือน – นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง. เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2562 มีมติ 4 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่าภาคการส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง ผลของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ขณะที่การท่องเที่ยวมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวตามรายได้ครัวเรือนทั้งในและนอกภาคเกษตรที่รับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ ที่ประชุม กนง. ให้ความกังวลกับเสถียรภาพการเงิน ที่มองว่ายังมีความกับเศรษฐกิจในอนาคต หลายด้าน เช่น ระดับหนี้ครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 2/2561 ที่อยู่ที่ 77.7% ต่อจีดีพี และเพิ่มขึ้นเป็น 77.8% ในไตรมาส 3/2562 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาส 4 โดยมาจากการเร่งตัวขึ้นของสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งก็สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ที่พุ่งขึ้นสูงมากในช่วงปลายปี นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสินเชื่อที่อยู่อาศัย การขยายสินทรัพย์ของสหกรณ์ออมทรัพย์ และการอนุมัติสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ธนาคารพาณิชย์อาจจะประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

นายทิตนันทิ์ กล่าวว่า การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวตามการย้ายฐานการผลิตมายังไทย และโครงการร่วมลงทุนของรัฐและเอกชนในโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการใช้จ่ายภาครัฐ ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ตามการเบิกจ่ายจริงและกรอบวงเงินงบประมาณทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน รวมถึงความล่าช้าในโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้รับแรงกดดันจากราคาพลังงานที่ลดลงและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความผันผวนของราคาพลังงานและอาหารสด

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท ยังมีความผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมที่จะเข้าไปดูเเล และติดตามอย่างใกล้ชิดหากพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเกินควรโดยยอมรับว่า การที่ค่าเงินสหรัฐ อ่อนค่าจากปัญหา สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมกับเเนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอ ทำให้ค่าเงินในสกุลเงินเกิดใหม่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยเงินบาทไทยตั้งแต่สิ้นปี 2561 จนถึงปัจจุบันแข็งค่า 4.1% ซึ่งอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้เป็นเงินสกุลที่เเข็งค่าที่สุดในโลก โดยเเข็งค่าน้อยกว่าอินโดนีเซีย ที่ 4.3% ส่วนความผันผวนของค่าเงินบาท อยู่ที่ 4.3% ผันผวนน้อยกว่า สกุลเงินของ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และอินโดนีเซีย

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องดูแล ซึ่งการชี้แจงและการดำเนินการจะต้องทำให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบันด้วย

“มีคนบอกว่าตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 สาเหตุมาจากนโยบายการเงิน ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงินในปัจจุบันต้องดูให้ดีไม่เป็นปัญหากับเศรษฐกิจเหมือนในอดีตขึ้นอีก”นายอภิศักดิ์ กล่าว

นายอภิศักดิ์ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ธปท. ไม่ควรปล่อยให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะทำให้กระทบการส่งออกและขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งควรเข้าไปแทรกแซงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ที่ต้องชั่งน้ำหนักผลกระทบต่อการลงทุนและการส่งออก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน