ปตท.ลุยลงทุน 5 ปีต่อเนื่อง เมินกำไรวูบ 11% ชี้นำส่งเงินเข้ารัฐ 8.2 หมื่นล้าน สะสม 17 ปี 8.8 แสนล้าน คาดราคาน้ำมันปีนี้อยู่ในกรอบ 65-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้านจีซีกำไร 4 หมื่นล. ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ตั้งบริษัทมา 8 ปี

ปตท. ลุยลงทุน 5 ปีต่อเนื่อง – นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. มีแผนลงทุนระหว่างปี 2562-66 วงเงิน 167,114 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น 100% จำนวน 66,525 ล้านบาท ท่าเรือรับก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) 34,680 ล้านบาท ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 27,527 ล้านบาท โดยปี 2566 ปตท. จะมีคลังสำรองรับแอลเอ็นจี 19 ล้านตัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 11.5 ล้านตัน เพื่อรองรับความต้องการคาดการณ์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.6-2.7 หมื่นล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.6-4.7 พันล้านลบ.ฟุตต่อวัน

นอกจากนี้ ปตท.และบริษัทในเครือยังมีแผนลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) วงเงินรวม 264,226 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นเป็นการลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีไอ (EECi) และอื่นๆ รวม 15,695 ล้านบาท เช่น โครงการก่อสร้างศูนย์การวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ที่อ.วังจันทร์ จ.ระยอง วงเงิน 4,100 ล้านบาท และบางโครงการอยู่ระหว่างศึกษา ส่วนธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย 5 ปีมีแผนลงทุน 11,779 ล้านบาท และธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 10,908 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ปตท. ยังเตรียมงบลงทุนเพิ่มเติม 187,616 ล้านบาท เพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจใหม่ๆ ที่มีอนาคต เช่น เมืองอัจฉริยะ ตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล ส่วนความคืบหน้าการลงทุนเกี่ยวเนื่องโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนั้น ทางปตท. ยังไม่มีการตัดสินใจลงทุนแต่อย่างใด เพราะขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าเอกชนรายใดจะเป็นผู้ชนะประมูลเพื่อเข้าดำเนินงาน จึงต้องติดตามดูผลการประมูลในระยะต่อไปก่อนว่าใครเป็นผู้ชนะ เพื่อปตท.จะนำมาประกอบการพิจารณาและประเมินความคุ้มค่าก่อนตัดสินใจลงทุนหรือไม่

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มของปตท. รวมบริษัทย่อยในปี 2561 มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 2.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% มีกำไรสุทธิ 119,684 ล้านบาท ลดลง 11% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงเหลือ 3.7% โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจยูโรโซนและจีน ความไม่แน่นอนจากปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่า รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 4/2561

โดยกำไรจากการดำเนินงานคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 4.15 บาทต่อหุ้น ซึ่งคณะกรรมการ ปตท. มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผล 2 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายภักษ์จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 36,258 ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของปตท. และบริษัทในเครืออีกประมาณ 45,962 ล้านบาท รวมเป็นรายได้นำส่งรัฐประมาณ 82,220 ล้านบาท คิดเป็นรายได้นำส่งเข้ารัฐสะสมตั้งแต่ปี 2544-61 รวม 8.8 แสนล้านบาท

นางอรวดี โพธิสาโร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์องค์กร ปตท. กล่าวว่านักวิเคราะห์ของปตท. มองแนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปีนี้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 65-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจากนี้ไปประเมินกลุ่มประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก (โอเปก) ไม่ใช่ผู้กำหนดราคาตลาดโลก เนื่องจากมีผู้ผลิตน้ำมันกลุ่มใหม่เกิดขึ้น เช่น สหรัฐ ทำให้กำลังการผลิตของโลกไม่น่าจะต่ำหรือสูงไปมากกว่านี้

“ราคาน้ำมันอาจลดลงแต่คงต่ำไปมากกว่านี้ เพราะมองว่าตลาดโลกพลังานไม่ใช่โอเปกแล้ว แต่มีกลุ่มใหม่เกิดขึ้น เช่นสหรัฐ ซึ่งต่อให้ต้นทุนราคาโอเปกอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ไม่สามารถดึงราคาลงต่ำกว่านี้ได้ เพราะสหรัฐก็จะทำให้ราคาขยับขึ้น หรือถ้าราคาน้ำมันสูงขึ้นสหรัฐกลไกตลาดก็จะดึงลง ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในช่วง 5 ปีนับจากนี้น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 60-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล”นางอรวดี กล่าว

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือจีซี (GC) กล่าวว่าผลประกอบการปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 40,069 ล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเป็นเวลา 8 ปี คิดเป็นกำไร 8.89 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 2% เนื่องจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเห็นได้จากรายได้จากการขาย 515,449 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต กำไรจากธุรกิจใหม่ๆ ที่ร่วมลงทุนจากการปรับโครงสร้างธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน