แบงก์ชาติชี้เศรษฐกิจโลกแผ่ว-การเมืองปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย แต่พื้นฐานยังแกร่ง คาดขยายตัว 3.8% แต่หากการจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วสร้างความชัดเจนเรียกความเชื่อมั่นขับเคลื่อนได้ส่งผลดีต่อเนื่อง พร้อมจับตาสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใกล้ชิด

ธปท.ชี้เศรษฐกิจโลกแผ่ว – นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานเสวนา “จับชีพจรเศรษฐกิจโลก เจาะแนวโน้มเศรษฐกิจไทย” จัดโดยธนาคารกสิกรไทย ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวที่ 3.8% ชะลอตัวลงจากเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (ปี 2560 และ 2561) ซึ่งขยายตัวเฉลี่ย 4% เป็นผลมาจากปีนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังในส่วนของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวลดลง จากสงครามการค้า เบร็กซิต (Brexit) และการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจจีน ทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลง แต่ภาคการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มขยายตัวดี ในขณะที่การบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชนขยับตัวดีขึ้น ประกอบกับโครงสร้างของศักยภาพของเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่งจึงขยายตัวแบบชะลอเล็กน้อย

อย่างไรก็ดี สถานการณ์การเมืองไทยมองว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงและต้องติดตาม โดยโจทย์สำคัญ คือ รัฐบาลใหม่จะจัดตั้งได้เร็วแค่ไหน หากจัดตั้งได้เร็วจะเป็นผลดี เพราะมีความชัดเจน และสร้างความเชื่อมั่น ส่งผลต่อการลงทุนให้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย โดยมองว่า ไม่ว่าพรรคการเมืองใดขึ้นมาเป็นรัฐบาล จะต้องเข้ามาสานต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ดำเนินการอยู่แล้ว เพราะมีนโยบายเศรษฐกิจไม่แตกต่างกัน และโครงการได้ประมูลจนเริ่มก่อสร้างแล้ว ส่วนในช่วงที่ยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลนั้น เชื่อว่า รัฐบาลปัจจุบันยังมีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการและมีเครื่องมือที่จะดูแลภาวะเศรษฐกิจได้

ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณา 3 ด้าน คือ อัตราเงินเฟ้อ เสถียรภาพเศรษฐกิจ และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ถือเป็นระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ และกนง. จะพิจารณาโดยดูข้อมูลรอบด้านและขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา โดยมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะทรงตัวหรือปรับเพิ่มขึ้น ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา

พร้อมกันนี้ธปท. กำลังติดตามดูสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยกำชับให้ระมัดระวังและรัดกุมในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะไม่ต้องการให้มีการอนุมัติสินเชื่อแบบมีเงินทอนเหมือนที่เคยเกิดกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยจะประเมินสถานการณ์ก่อนการพิจารณว่าจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อควบคุมเหมือนสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือไม่ โดยย้ำว่าการออกมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2562 ไม่ได้มีผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้านหลักแรก แต่ต้องการดูแลบ้านในสัญญาที่ 2-3 เพื่อไม่ให้มีการเก็งกำไร จากที่ผ่านมาปล่อยไปมากทำให้เกิดความเสี่ยง

ปรีดี ดาวฉาย

นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมภาวะสินเชื่อในช่วงต้นปีนี้ขยายตัวช้า เพราะมีปัจจัยภายนอกมาส่งผลกระทบ แต่เชื่อว่าจากนี้จะเร่งขยายตัวดีขึ้น โดยกสิกรไทยเองจะรักษาเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายเติบโต 5-7%

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน