เปิดไทม์ไลน์มหากาพย์‘โฮปเวลล์’
‘2533-2562’ใครต้องรับผิดชอบ?
เปิดไทม์ไลน์มหากาพย์‘โฮปเวลล์’ – ‘2533-2562’ใครต้องรับผิดชอบ? : ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับตำนานค่าโง่บนซากเสาตอม่อเลียบถนนวิภาวดีรังสิต ‘โครงการโฮปเวลล์’ ระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร (Bangkok Elevated Road and Train System – BERTS)
หลังศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชดใช้ค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ให้กับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ภายใน 180 วัน
ประกอบไปด้วยค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญาราว 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี คืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาท ที่ออกโดยธนาคารกรุงเทพ
ความเป็นมาของโครงการนี้ เริ่มเมื่อ 29 ปีที่แล้ว สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี และ นายมนตรี พงษ์พานิช รมว.คมนาคม มีแนวคิดที่จะแก้ปัญหาจราจรในกทม. ด้วยการสร้างรถไฟและถนนยกระดับ
บริษัทโฮปเวลล์ ของ นายกอร์ดอน หวู่ มหาเศรษฐีชาวฮ่องกงชนะการประมูล กระทั่งเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2533 กระทรวงคมนาคมและรฟท.ลงนามในสัญญาสัมปทานว่าจ้างโฮปเวลล์ วงเงินลงทุนราว 80,000 ล้านบาท อายุสัมปทาน 30 ปี มีสิทธิต่ออายุออกไปได้รวม 58 ปี
ทั้งมอบสิทธิ์ในการจัดเก็บค่าผ่านทาง และจัดหาผลประโยชน์จากที่ดินของ รฟท.ในพื้นที่ 4 ทำเลทอง คือ หัวลำโพง, สามเหลี่ยมจิตรลดา, ชุมชนตึกแดง บางซื่อ และบ้านพักนิคมมักกะสัน รวม 247.5 ไร่ให้อีกด้วย
แบ่งงานก่อสร้างออกเป็น 5 ระยะ ช่วงที่ 1 เริ่มก่อสร้างจาก ยมราช–ดอนเมือง ระยะทาง 18.8 กิโลเมตร, ช่วงที่ 2 ยมราช–หัวลำโพง–หัวหมาก และมักกะสัน–แม่น้ำเจ้าพระยา ระยะทาง 18.5 กิโลเมตร, ช่วงที่ 3 ดอนเมือง–รังสิต ระยะทาง 7 กิโลเมตร
ช่วงที่ 4 หัวลำโพง–วงเวียนใหญ่ และยมราช–บางกอกน้อย ระยะทาง 6.7 กิโลเมตร และช่วงที่ 5 วงเวียนใหญ่–โพธิ์นิมิตร และตลิ่งชัน–บางกอกน้อย ระยะทาง 9.1 กิโลเมตร
โครงการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเนื่องจากมีการให้สิทธิ์พัฒนาที่ดินของ รฟท.หลายร้อยไร่ ที่สำคัญโครงการถูกผลักดันให้ผ่านการอนุมัติจาก ครม. อย่างรวดเร็วภายใน 9 เดือนเท่านั้น
ประกอบกับช่วงเวลานั้นรัฐบาลยังไม่ออกกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ 2535 ยิ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าทำให้เกิดช่องว่างในการตรวจสอบ
ระหว่างที่โครงการดำเนินอยู่ จู่ๆ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2534 รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ถูกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่ชาติ (รสช.) นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น เข้ายึดอำนาจ
แต่งตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี และ นายนุกูล ประจวบเหมาะ เป็น รมว.คมนาคม ซึ่งมีคำสั่งทบทวนสัญญาสัมปทานใหม่ เพราะเกรงว่าจะเป็นสัญญาที่ฝ่ายรัฐ เสียเปรียบ เพราะมีการกล่าวอ้างว่า ในสัญญาไม่มีการกำหนดระยะเวลาก่อสร้างและค่าปรับต่างๆ ที่ชัดเจน รวมทั้งยังไม่มีการระบุในสัญญาว่าโครงการจะต้องแล้วเสร็จเมื่อใด
กระทั่งประกาศล้มโครงการโฮปเวลล์ในที่สุด แต่ยังไม่บอกเลิกสัญญา โดยจัดตั้งองค์การรถไฟฟ้ามหานคร ขึ้นมาดำเนินการแทน เมื่อ พ.ศ.2535
โครงการโฮปเวลล์ยังเดินต่อมาจนถึงสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย สมัยที่ 1 ซึ่งพ.อ.วินัย สมพงษ์ เป็น รมว.คมนาคม ขณะนั้นโฮปเวลล์เริ่มประสบปัญหาเรื่องเงินทุน แหล่งเงินกู้ หลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญา และปัญหาเรื่องแบบก่อสร้าง
ขณะที่ รฟท.ประสบปัญหาส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ทำให้รัฐบาลถัดมาสมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี มีมติ ครม.ให้บอกเลิกสัญญา หลังจากโฮปเวลล์หยุดงานก่อสร้างอย่าง สิ้นเชิง ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2540
แต่การบอกเลิกสัญญามาเกิดขึ้นและมีผลจริงในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย สมัยที่ 2 ซึ่งขณะนั้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็น รมว.คมนาคม ลงนามบอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2541
สั่งห้ามโฮปเวลล์เข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ ในพื้นที่โครงการ เพราะเห็นว่าการก่อสร้างช่วง 7 ปีที่ผ่านมา มีความคืบหน้าเพียง 13.77% ช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ 89.75%
หลังบอกเลิกสัญญา รฟท.ในฐานะเจ้าของสัมปทานพยายามเข้าไปใช้กรรมสิทธิ์ เตรียมนำโครงสร้างตอม่อบางส่วนมาก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ–รังสิต แต่โฮปเวลล์มองว่าถูกยึดคืนพื้นที่สัมปทานอย่างไม่เป็นธรรม
จึงเป็นจุดเริ่มต้นของข้อพิพาทการฟ้องร้องครั้งมหากาพย์ขึ้น
วันที่ 24 พ.ย. 2547 โฮปเวลล์ยื่นเรื่องให้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัย เรียกค่าเสียหายจากการยกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม และรฟท. รวม 5.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ รฟท.เรียกร้อง ค่าเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากโครงการกว่า 2 แสนล้านบาท
8 พ.ย. 2551 คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.คืนเงินชดเชยให้โฮปเวลล์ 11,888.75 ล้านบาท เนื่องจากการบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรม ขณะที่กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง
13 มี.ค. 2557 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอน คำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ 2 ฉบับ และให้ปฏิเสธการบังคับตามคำชี้ขาด ทำให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย แต่โฮปเวลล์ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด
การฟ้องร้องกินระยะเวลามายาวนานรวม 17 ปี จนกระทั่งคดีสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2562 ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาศาลปกครองกลางเป็น “ยกฟ้อง” มีผลให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ต้องคืนเงินชดเชยให้กับโฮปเวลล์ รวมเป็นเงิน 11,888 ล้านบาท โดยไม่รวมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ระบุว่าคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ต้องหาเงินมาจ่ายค่าชดเชยตามคำสั่งศาล
ล่าสุด รฟท.ทำหนังสือไปยังสำนักงานคดีปกครองเพื่อขอตรวจสอบวงเงินชดเชยแล้ว และแต่งตั้งคณะทำงานพิเศษซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม รฟท. กรมบัญชีกลาง สำนักอัยการสูงสุด สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มาสรุปวงเงินชดเชย การจัดหาแหล่งเงิน แนวทางในการชำระค่าชดเชย และเปิดเจรจาต่อรองกับโฮปเวลล์
โดยต้องให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดของศาลที่ให้จ่ายภายใน 180 วัน นับแต่คดีสิ้นสุด
นอกจากนี้ยังตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบความรับผิดทางละเมิด เพื่อหาคนผิดมารับโทษที่เกิดขึ้นตามกฎหมายด้วย เริ่มตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นสัญญาจนถึงบอกเลิกสัญญา
ขณะที่นายวรวุฒิ มาลา ผู้ว่าฯ รฟท.ยืนยันว่าภายใน 1 เดือนจากนี้จะได้ข้อสรุปเรื่องวงเงินชดเชยทั้งหมด
ส่วนรูปแบบการจ่ายชดเชยนั้นมีหลายแนวทาง อาจจะจ่าย เป็นเงิน หรือเป็นการให้สิทธิ์โฮปเวลล์เข้ามาใช้ประโยชน์ในที่ดินของ รฟท. ก็เป็นไปได้
โดยจะเลือกแนวทางที่รัฐเสียหายน้อยที่สุด
คลิกอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง