กระทรวงพลังงานขยายระยะเวลาอุดหนุนราคาขายปลีกบี 20 ต่ำกว่าดีเซลปกติ (บี7) 5 บาทต่อลิตร พร้อมตรึงแอลพีจีหาบเร่แผงลอย จ่อปรับพีดีพีดึงคนไทยร่วมผลิตไฟฟ้า

พลังงานต่ออายุบี 20 ตรึงแอลพีจี – นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติขยายระยะเวลาอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันไบโอดีเซลบี 20 ต่ำกว่าดีเซลปกติ (บี7) 5 บาทต่อลิตร ให้กับกลุ่มรถบรรทุกและรถกระบะออกไปอีก 2 เดือน เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2562 จากเดิมที่จะสิ้นสุดอายุมาตรการวันที่ 31 ก.ค.นี้ เพื่อช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ แก้ปัญหาราคาปาล์มสดตกต่ำ

โดยกบง. ให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนราคาในส่วนนี้ 4.50 บาทต่อลิตร นับตั้งแต่เดือนก.ค. 2561 ที่รัฐอุดหนุนราคาน้ำมันไบโอดีเซลบี 20 ในอัตรา 3 บาทต่อลิตร และเพิ่มเป็น 5 บาทต่อลิตรจนถึงสิ้นเดือนก.ย.นี้ รวมวงเงินอุดหนุนทั้งสิ้น 2,781 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ไปศึกษาแนวทางส่งเสริมการใช้น้ำมันปาล์มผ่านบี 7 บี 10 และบี 20 อย่างไรให้เหมาะสมให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน หลังจากนั้นจะหารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมหาแก้ปัญหาราคาผลผลิตปาล์มตกต่ำทั้งระบบ ตั้งเป้าหมายราคาปาล์มทะลายไม่ต่ำกว่า 2.50 บาทต่อกิโลกรัม

นอกจากนี้ กบง. ยังมีมติตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) สำหรับกลุ่มหาบเร่แผงลอยให้ได้รับส่วนลดราคาไม่เกิน 36 บาทต่อถัง 15 ก.ก. แต่ไม่เกิน 75 บาทต่อเดือน หรือไม่เกิน 5 ถัง พร้อมขอขยายกรอบวงเงินเพิ่มอีก 60 ล้านบาท และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อุดหนุนราคาแอลพีจีสำหรับผู้มีรายได้น้อยในอัตรา 45 บาทต่อ 3 เดือนไว้ตามเดิมที่จะสิ้นสุดเดือนก.ย. 2562

“ระหว่างนี้กระทรวงพลังงานจะหารือกระทรวงการคลัง เพื่อปรับการช่วยเหลือแอลพีจีหาบเร่แผงลอยให้ตรงจุดกับผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง ส่วนหนึ่งอาจตัดสิทธิผู้ลงทะเบียนที่ไม่มีการใช้สิทธิเป็นระยะเวลาย้อนหลังตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป รวมทั้งจะพิจารณาผู้ที่ได้รับสิทธิซ้ำซ้อนในส่วนของผู้ค้าหาบเร่แผงลอย และได้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย ต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย”รมว.พลังงาน กล่าว

ส่วนแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี 2018) นั้น กระทรวงฯ เตรียมทบทวนเรื่องการกระจายพลังงานไปสู่ชุมชนมากขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้พลังงานเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าได้ รวมถึงข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดินเรื่องการดำเนินการให้รัฐมีสัดส่วนการผลิตไม่น้อยกว่า 51% ภายใน 10 ปี รวมทั้งประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค ช่วยให้ไทยมีโอกาสบริหารจัดการค่าไฟฟ้าในระยะยาวให้ถูกกว่าเป้าหมายปลายแผนพีดีพีที่กำหนดไว้ 3.58 บาทต่อหน่วย ซึ่งกระทรวงเตรียมนำประเด็นรายงาน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสมีกำหนดการตรวจเยี่ยมกระทรวงพลังงานและมอบนโยบายภายในสัปดาห์หน้า

นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่ายังจะเร่งศึกษาโครงสร้างค่าไฟฟ้าโดยเฉพาะ 2 กลุ่มหลักได้แก่ 1. ผู้ที่อยู่รอบโรงไฟฟ้าจะต้องได้รับค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า 2. บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะให้เข้าถึงผู้มีรายได้ต่ำจริงๆ รวมทั้งจะมีการปรับหลักเกณฑ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นแนวทางการพิจารณาโครงการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้เกิดโครงการที่เกิดผลประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง โดยจะมีการปรับเปลี่ยนวิธี เงื่อนไขและการติดตามประเมินผล สอดรับกับพลังงานชุมชนและกระจายไปยังระดับฐานรากให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านพลังงานรายใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนพลังงานของประเทศ คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน