เปิดวิสัยทัศน์‘ไทยเบฟ 2025’ ตอกย้ำผู้นำเครื่องดื่มครบวงจร

เปิดวิสัยทัศน์ – ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใส ส่งผลให้ภาคเอกชน หลายองค์กรธุรกิจต้องชะลอ หรือเบรกการลงทุนลง

แต่หนึ่งในยักษ์ใหญ่ “ไทยเบฟ” ยังเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้

จากวิสัยทัศน์ 2020 ที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2014 หรือปี 2557 ไทยเบฟบรรลุเป้าของแผนที่หนึ่งไปแล้วตั้งแต่ปี 2017 หรือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กับการครองอันดับหนึ่ง DJSI (World Index) 2 ปีต่อเนื่อง และขยายธุรกิจขึ้นสู่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มครบวงจรของตลาดอาเซียน

ในเดือนต.ค.2562 เริ่มต้นธุรกิจปี 2563 ของไทยเบฟ ซึ่งถือเป็นปีที่เข้าสู่ปีสุดท้ายของวิสัยทัศน์ 2020 ปูทางขับเคลื่อนและผลักดันเข้าสู่เป้าหมายตามความฝันไว้ ที่จะเข้าสู่การเป็นบริษัทไทยที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนอยู่ในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะ Stable and Sustainable Asean Leader

ฐาปน สิริวัฒนภักดี

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และทีมผู้บริหารสูงสุด โชว์วิสัยทัศน์ด้านธุรกิจกับพันธกิจ ‘วิสัยทัศน์ 2025’ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารในอาเซียน

พร้อมเผยแผนด้านการลงทุน และขยายเครือข่ายทางธุรกิจเชื่อมโยงทุกมิติ รวมถึงเตรียมพร้อมการพัฒนาบุคลากรรับเทรนด์โลกด้านเทคโนโลยี

แม่ทัพใหญ่ “ฐาปน” กล่าวว่า วิสัยทัศน์ปี 2025 ทิศทางธุรกิจของไทยเบฟมุ่งขยายตลาดเครื่องดื่มทั้ง เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ และไม่มีแอลกอฮอล์ มองไปถึงตลาดอาเซียน +6

แตกต่างจากวิสัยทัศน์ปี 2020 ที่มุ่ง 10 ประเทศอาเซียน และ +6 ที่จะขยายเข้าไปประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่าครึ่งโลก หรือประมาณ 700 ล้านคน

รวมถึงนักท่องเที่ยวอีกกว่า 120 ล้านคน ที่มีโอกาสการบริโภค เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้มองไปข้างหน้าเห็นโอกาสที่น่าสนใจเห็นว่ายังมีโอกาสจากการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของโลก ผ่านโครงการสำคัญ เช่น Belt Road Initiative ของประเทศจีน ที่เป็นตลาดใหญ่อีกด้วย

อย่างไรก็ตามตลาดหลักยังเป็นประเทศอาเซียนที่มีอัตราการโตของเศรษฐกิจสูง เช่น เมียนมา 7.4% กัมพูชา 7.2% ลาว 7.1% และเวียดนาม 6.2% โดยมุ่งโฟกัสการลงทุนใน 3 ตลาด คือ เมียนมา ไทย และเวียดนาม

ทั้ง 3 ประเทศมีประชากรถึง 220 ล้านคน เป็นตลาดสำคัญและใหญ่มาก ด้วยศักยภาพที่จะเติบโตและมีโอกาสการบริโภคสูงทั้งอาหารและเครื่องดื่ม

“ภาพรวมในวิสัยทัศน์ 2020 ถือว่าสามารถขับเคลื่อนและประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ทำให้เรามีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ส่งต่อให้เราสามารถพัฒนาแผนธุรกิจของเรา ให้เป็นแผนธุรกิจที่มองไปไกลถึง 2025 ซึ่งจะเป็นแผน 3 ปี อีก 2 แผนของเรา”

นายฐาปนกล่าวและว่า เริ่มนับที่ 2020-2022 เป็นแผน 3 ปีแรก และ 2022-2025 เป็นแผน 3 ปี ที่สอง จะเห็นความเชื่อมโยงก้าวข้ามระหว่างปี 2020 ไปยัง 2025 ซึ่งในปี 2020 หรือปี 2563 นี้ เราจะปิดแผน 2020 พร้อมกับสร้างพื้นฐาน ที่มั่นคงให้เราก้าวไปสู่ผลสำเร็จที่เราวางไว้ในปี 2025”

นายฐาปนกล่าวอีกว่า การปิดแผนปี 2020 เตรียมงบลงทุนไว้ 7,000 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงประสิทธิภาพผลิต และการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในองค์กร เพื่อจะปูทางไปสู่วิสัยทัศน์ปี 2025 ซึ่งมีเรื่องสำคัญ คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิตอล

ด้วยวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีมีการเปลี่ยน แปลงไปอย่างรวดเร็ว มีสิ่งใหม่ๆ ที่ให้โอกาสทางธุรกิจของเรา และสามารถพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงาน

ดังนั้นแผนปี 2025 เตรียมการวางแผนด้านไอทีไปถึงปี 2030 และกำหนดแผนพัฒนาคนไปถึงปี 2050 เพราะคนที่จะเป็น ผู้บริหารในปี 2050 นับไปจากปีนี้ 30 ปี ก็คือคนที่เข้ามาทำงานในไทยเบฟอายุ 20 ปี ที่ในปี 2050 เขาก็จะอายุ 50 ปี จึงจำเป็นต้องเฟ้นหาคนที่เหมาะสมกับสิ่งที่จะทำ

นอกจากนั้นก็ยังมีอีก 60,000 คน ที่อยู่กับเราซึ่งต้องเตรียมรองรับกับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาในระบบงานของไทยเบฟ จะมีคนบางส่วนที่ต้องส่งเสริมเรื่องทักษะ และศักยภาพ ต้องพัฒนาทักษะด้านอื่นให้เขายังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้

“ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องมองให้ไกลไปถึงปี 2030, 2040 และ 2050 คือการเตรียมคนให้พร้อม การมองทั้งโอกาสในด้านการตลาด และการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้สอดคล้องกับโลกที่จะเปลี่ยนไป ซึ่งการมองแบบนี้เรามองไปในตลาดที่อยู่ในปัจจุบันไม่น่าจะเพียงพอ เมื่อเรามีโอกาส และประสิทธิภาพ เราจึงไม่ได้มองเพียงเรื่องของอาเซียน”

หลังจากตลอดหลายปีที่ผ่านมาไทยเบฟเข้าซื้อกิจการเครื่องดื่มและอาหารอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพราะเห็นโอกาสมากมายเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในวันนี้ และอนาคต ทำให้ไทยเบฟเติบโตได้อย่างมั่นคงในระดับตัวเลข 2 หลัก

ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2562 ยอดขายรวมอยู่ที่ 205,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18.2% กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 21.0% เป็น 36,265 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 21,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1%

เมื่อมาสู่การขับเคลื่อนอาณาจักรไทยเบฟ ซึ่งกำลังไปสู่อาเซียน+6 ดังนั้นการลงทุนยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ เตรียมพร้อมองค์กรสู่อนาคต มองถึงการสร้างขนาดธุรกิจที่ใหญ่และสร้างการเติบโต ซึ่งให้ความสำคัญ ทั้งธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์

เพื่อเน้นความเป็นผู้นำเครื่องดื่มแบบครบวรจรในอาเซียน และสร้างโอกาสในธุรกิจอาหารได้อีกด้วย

สำหรับ 3 กลยุทธ์การลงทุนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของไทยเบฟ คือ

1.การสร้างการเติบโต ซึ่งการลงทุนขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่

2.การลงทุนสร้างความหลากหลายในตัวผลิตภัณฑ์

และ 3.การสร้างตราสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภค ภายใต้งบลงทุนต่อปีที่ใกล้เคียงกับปี 2563

การขับเคลื่อนของ “ไทยเบฟ” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กรอย่างต่อเนื่อง

พร้อมเข้าไปยืนอยู่บนบัลลังก์แชมป์ ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มตลาดอาเซียนได้แข็งแกร่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน