คอลัมน์ รายงานพิเศษ

นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับภาคการส่งออกไทย ที่ไตรมาสแรก(ม.ค.-มี.ค.) ของปี 2560 ขยายตัวได้ถึง 4.9% คิดเป็นมูลค่า 56,456 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออก ที่สูงสุดในรอบ 4 ปี

หากดูแยกรายเดือน เริ่มจากม.ค. มีมูลค่า 17,099 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน นับตั้งแต่เดือนพ.ย.2559

แม้ว่าในเดือนก.พ. จะติดลบ 2.8% มีมูลค่า 18,470 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ก็เกิดจากฐานการส่งออกในเดือนก.พ. 2559 อยู่ในระดับสูงจากการส่งออกทองคำและสินค้ากลุ่มอากาศยาน ที่ปีนี้ไม่มีการส่งออก

หากหักสินค้า 2 รายการนี้จะทำให้การ ส่งออกเดือนก.พ.ปีนี้ขยายตัวเป็นบวก 8.5% ถือเป็นปัจจัยกระทบชั่วคราว และสะท้อนว่าการส่งออกของไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น

ขณะที่ในเดือน มี.ค. การส่งออกก็กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง มีมูลค่า 20,887.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.22% จากเดือนเดียวกัน ของปีก่อน และยังเป็นมูลค่าที่สูงเกิน 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกในรอบ 29 เดือน นับจากเดือน ต.ค. 2557

ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกของไทยขยาย ตัวในไตรมาสแรก เกิดจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว เช่น ยางพารา ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง ขยายตัว 10.6% สินค้าอุตสาหกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ยางพารา เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัว 3.5%

อีกทั้งตลาดส่งออกสำคัญ เช่น ตลาดจีน อินเดีย เอเชียใต้ CLMV สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ในไตรมาสนี้ขยายตัวในทุกตลาดยกเว้นอาเซียนและตะวันออกกลาง

ส่วนการค้าชายแดนในไตรมาสแรกมีมูลค่า 268,622 ล้านบาท ขยายตัว 4.7% เกินดุลการค้าชายแดน 73,665 ล้านบาท การค้าผ่านแดนมูลค่า 47,097 ล้านบาท ขยายตัว 7.9% เกินดุลการค้า 1,268 ล้านบาท รวมการค้าชายแดนและผ่านแดนมีมูลค่าทั้งสิ้น 315,720 ล้านบาท ขยายตัว 5.2% เกินดุล 74,933 ล้านบาท

ด้านการนำเข้าก็เป็นบวกอย่างต่อเนื่องทำให้ไตรมาสแรกของปีมีมูลค่า 52,404 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.8% และการค้าเกินดุล 4,053 ล้านเหรียญสหรัฐ

สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยยังมีศักยภาพในการขยายการผลิต เพราะการนำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุดิบ เครื่องจักร ซึ่งเป็นสินค้าทุนเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้ประกอบการ ในการนำเข้าสินค้ามาผลิตเพื่อการส่งออก

ด้วยตัวเลขที่ออกมาสวยงามนี้เอง กระทรวงพาณิชย์ จึงมั่นใจว่าการส่งออกจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5%

ปัจจัยเสริมมาจากเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง เช่น สหรัฐอเมริกา คาดว่าจะขยายตัวได้ 2% ญี่ปุ่นขยายตัว 1.6% และจีนขยายตัว 6.9% ในขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ไม่ได้ลดต่ำลงมากจนเกินไป

ทั้งนี้ เพื่อให้เป้าหมายการขยายตัวภาคส่งออกเป็นจริง นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ให้สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ตรวจสอบสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในพื้นที่ความรับผิดชอบของตนเองอย่างรอบด้าน เช่น การค้า การลงทุน การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศกับไทย

พร้อมเร่งรัดการจัดกิจกรรมในต่างประเทศช่วงไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 2560 (เม.ย.-มิ.ย.) ทั้งในส่วนที่กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ดำเนินการจัดเอง หรือไปเข้าร่วมกับงานในพื้นที่ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทย ไม่น้อยกว่า 25 กิจกรรม

แยกเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในต่างประเทศ 23 กิจกรรม โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในอาเซียน อาทิ มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ และกัมพูชา ส่วนที่เหลือจะกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ของโลก อาทิ สหภาพยุโรป และตะวันออกกลาง เป็นต้น

กิจกรรมใหญ่ที่จะจัดขึ้นในประเทศ เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการให้เข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าไทยกันเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการจากทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าไทยมีจำนวน 2 งาน ได้แก่

งาน Thaifex World of Food จัดระหว่างวันที่ 31 พ.ค.-4 มิ.ย. 2560 ควบคู่ไปกับงาน Thailand Rice Convention ซึ่งจะจัดขึ้น ในช่วงระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค. 2560

ปีนี้กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าภายในงาน จะมีผู้ซื้อสินค้าอาหาร รวมทั้งสินค้าเกษตร เช่น ข้าวและผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ มาร่วมเจรจาการค้า ตลอดจนเข้าเยี่ยมชมงานเป็นจำนวนกว่า 1.5 แสนคน

กระทรวงพาณิชย์ยังจับมือกับ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ เชิญผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศจีนเดินทางมาเจรจาซื้อขายสินค้ากับผู้ประกอบการไทย ในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้อีกด้วย

ด้าน น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และยุทธศาสตร์การค้า ให้ความเห็นว่า ปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะกระทบตัวเลขการส่งออกของไทยเช่นสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหภาพยุโรป อัตราแลกเปลี่ยนและความแน่นอนของการค้าและการลงทุน ซึ่งจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้คาดการว่าค่าเงินบาททั้งปีจะอยู่ในช่วง 35.5-37.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันอยู่ในกรอบ 50.0-60.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นอกจากนี้ประเด็นที่ต้องจับตาเป็นพิเศษที่อาจจะส่งผลกระทบการส่งออกไทยในอนาคตก็คือ คำสั่งพิเศษประธานาธิบดีสหรัฐ (Executive Order) เพื่อดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุการขาดดุลการค้าของสหรัฐกับ 16 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย

น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงว่าประเทศไทยทำการค้ากับสหรัฐภายใต้ข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) ทุกอย่าง ไม่เลือกปฏิบัติและพร้อมชี้แจงในทุกประเด็น โดยเน้นย้ำ ให้สหรัฐเข้าใจ ว่าสหรัฐได้ประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนในไทยเช่นกัน

แสดงให้เห็นว่าไทยไม่ได้เป็นฝ่ายได้ดุลอยู่ฝ่ายเดียวเพียงแต่ไม่ได้มีการพูดถึงมากเท่ากับการส่งออกในรูปแบบของสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐเท่านั้นเอง ซึ่งโดยสรุปแล้วทั้งสองประเทศต่างก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน

ด้านภาคเอกชน อาทิ นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ประเมินว่า การส่งออกในไตรมาสแรกของปี จะเติบโต 1-2% หากการค้าและเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตต่อไป ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงมากระทบ

“การส่งออกในไตรมาสที่เหลือในปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 2-3% อย่างไรก็ตามความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนก็ยังมีอยู่ดังนั้นผู้ประกอบการรายเล็ก ทำประกันอัตรา แลกเปลี่ยนป้องกันการขาดทุน และมองว่าการใช้นโยบายของทรัมป์ ยังเป็นปัจจัยลบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจทั่วโลก” นาย นพพร กล่าว

ส่วน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนมองตัวเลข ส่งออกของไทยเดือนมีนาคม 2560 ที่อยู่ในระดับสูงเป็นผลจากการประกาศนโยบายต่างๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังการเข้ามาบริหารประเทศสหรัฐ สร้างบรรยากาศให้การค้ากลับมาคึกคัก ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้นไปด้วย

“การส่งออกเดือนมี.ค.2560 ที่เติบโตถึง 9% ถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจากที่ภาคเอกชนคาดไว้ และหากสุดท้ายแล้วนโยบายของทรัมป์ไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าในระยะต่อไป แต่อาจกลับทำให้การส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้นและทั้งปีสามารถขยายตัวได้เป้าหมายที่รัฐบาลคาดไว้โต 5%” นายเกรียงไกรกล่าว

ส่วนการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคาร ประจำเดือนพ.ค. น่าจะมีการทบทวนการคาดการณ์ตัวเลขส่งออกเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ตั้งเป้าหมายส่งออกปี 2560 ไว้ที่ 1-3% ด้วย

ถือเป็นข่าวดีรับไตรมาสแรกของทั้งประเทศไทย และรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน