ยัน พานาโซนิค ยังยึดไทยฐานการผลิต 18 โรงงาน จ้างงานกว่าหมื่นคน

วันที่ 25 พ.ค. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีบริษัท พานาโซนิค ได้ย้ายฐานการผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้าไปยังประเทศเวียดนาม ว่าเบื้องต้นได้รับรายงานจากผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมว่า กรณีดังกล่าวเป็นการปรับแผนทางธุรกิจของพานาโซนิค ที่วางไว้เดิมอยู่แล้ว เพื่อให้ขนาดการลงทุนมีความคุ้มค่ามากขึ้นทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาวัตถุดิบและมีต้นทุนการผลิตลดลง ซึ่งการย้ายฐานเป็นการรวมสายการผลิตไว้ที่ประเทศเวียดนาม โดยปัจจุบันเป็นฐานการผลิตหลักของตู้เย็น และเครื่องซักผ้าของกลุ่มบริษัท พานาโซนิคในอาเซียนอยู่แล้ว

ทั้งนี้ปัจจุบันกลุ่มบริษัทพานาโซนิค ยังมีโรงงานอยู่ในประเทศไทยอีก 18 โรงงาน ใช้แรงงานกว่า 10,000 คน โดยมีผลิตภัณฑ์หลักๆ เช่น เครื่องเสียง โทรทัศน์ แผ่นพิมพ์วงจรไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดยังคงเดินสายการผลิตที่ไทย

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

“กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประสานงาน และสอบถามข้อมูลกับ บริษัท พานาโซนิค พบว่าทางบริษัทมีการปิดฐานการผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้า เพื่อไปรวมสายการผลิตฐานหลักที่ประเทศเวียดนาม โดยมีแรงงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 800 คน ซึ่งถือว่าเป็นการย้ายฐานไปส่วนน้อยเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาทางบริษัทได้นำเข้าชิ้นส่วนของเครื่องซักผ้าและตู้เย็นชิ้นส่วนมาจากเวียดนามเป็นหลักเพื่อนำมาประกอบในประเทศไทยอยู่แล้ว จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่บริษัทตัดสินใจย้ายสายงานดังกล่าวไปเวียดนาม” นายสุริยะ กล่าว

ส่วนกรณีของข่าวบริษัทเครื่องปรับอากาศไดกิ้น (Daikin) ตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่าเป็นการขยายกำลังการผลิตที่ประเทศเวียดนามและขยายการผลิตในประเทศไทยด้วยเช่นกัน แต่เป็นโมเดลทั่วๆไป เพราะบริษัทไดกิ้นได้ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพิ่มขึ้นทั้งการผลิตเครื่องปรับอากาศ และคอมเพรสเซอร์ ซึ่งภาพรวมเป็นโมเดลเครื่องปรับอากาศที่ใช้เทคโนโลยีที่ขั้นสูง ตรงกับนโยบายรัฐบาลที่เน้นส่งเสริมการลงทุนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

นายสุริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่าทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งดำเนินโครงการพัฒนาอาชีพ ธุรกิจอิสระให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการจ้างงานลดลง โดยจะเสนอโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดจะสามารถช่วยประชาชนได้กว่า 1.25 ล้านคน ตามแนวทางข้างต้นนี้ต่อไป โดยใช้งบประมาณราว 10,000 ล้านบาท ภายใต้พระราชกำหนด(พรก.) เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ด้วยการผลักดันเศรษฐกิจชุมชนใน 4 มิติ

1.มิติผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยการปรับธุรกิจให้อยู่รอดในสถานการณ์โควิด-19 และเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้ความปกติวิถีใหม่ หรือนิวนอร์มอล เช่น การปรับการตลาดรูปแบบใหม่ การเพิ่มผลิตภาพ มาตรฐาน และนวัตกรรม 2.มิติชุมชนและวิสาหกิจชุมชน โดยการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนจากการบ่มเพาะนักพัฒนาชุมชน ผ่านการสร้างและยกระดับการค้า การผลิต และบริการ เพื่อให้แต่ละชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้มากขึ้น

3.มิติเกษตร โดยการพัฒนาจากเกษตรเป็นเกษตรอุตสาหกรรม ผ่านกลไกการสร้างนักธุรกิจเกษตร การใช้ระบบเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลเพื่อทำเกษตรสมัยใหม่ (Farming 4.0) และสุดท้ายมิติที่ 4.มิติประชาชน แรงงาน และบัณฑิตจบใหม่ โดยการสร้างอาชีพอิสระทั้งในแง่ของการสร้าง และการนำทักษะของแต่ละคนมาประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงการเริ่มธุรกิจค้าขายและบริการตามที่ตนเองถนัด เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้

อย่างไรก็ตาม แต่ละมิติจะมีการช่วยเหลือประชาชนในรูปแบบการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพื่อให้มีเงินทุนเริ่มทำธุรกิจได้บ้าง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนงบประมาณจำนวน 35% จากงบประมาณคงเหลือของปี 63 นำมาช่วยเหลือและฟื้นฟูใน 4 มิติข้างต้นแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการจ้างงานลดลง จะถูกช่วยเหลือให้มีโอกาสสร้างงานสร้างอาชีพกว่า 6,000 คน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน