นายสุรไกร ไพรสานฑ์กุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทในเครือไทยซิน กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในฐานะที่เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของไทยซินกรุ๊ป ซึ่งอยู่ในธุรกิจมากว่า 70 ปี โดยเป็นบริษัทแรกที่ได้รับสิทธิ์ในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสินค้าอุปโภคบริโภคจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ คาโอ คาเนโบ พร้อมกับรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์สินค้าชั้นนำในต่างประเทศ รวมถึงยังมีบริษัทเครือรวม 11 บริษัท โดยเฉพาะบริษัท เอที คอสเมติค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีบทบาทในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าหรือเทรดดิ้ง ทำให้บริษัทมีจุดแข็งด้านช่องทางการกระจายสินค้าทั้งในโมเดิร์นเทรดหรือห้างค้าปลีกค้าส่ง ช่องทางร้านค้า หรือเทรดดิชั่นนัลแทรด ตลอดจนคู่ค้าในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว กัมพูชา เมียนมา รวมถึงเวียดนามด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายสู่ธุรกิจร้านอาหารและถือเป็นบริษัทแรกๆ ที่เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทชาบูสุกี้ ภายใต้ อะคิโยชิ เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ซึ่งในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาได้เริ่มรุกขยายสาขาปัจจุบันมีทั้งหมด 6 สาขา รวมถึงยังมีธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เน้นนวัตกรรม ภายใต้แบรนด์ นิกโก้ (Nikko) และกระติกน้ำร้อน ไทเก้อ (Tiger) ซึ่งบริษัทได้มีร่วมทุนกับโรงงานผลิตในประเทศจีน

โดยนโยบายการดำเนินงานจากนี้บริษัทมีแผนธุรกิจเชิงรุกในทุกกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะใน บริษัท เอที คอสเมติค (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทมีนโยบายขยายการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเต็มตัว โดยอาศัยจุดแข็งด้านการมีช่องทางการจัดจำหน่ายอยู่แล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ซึ่งบริษัทมองว่าสามารถทำตลาดได้กว้างกว่า เข้าถึงลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ทำให้ล่าสุดบริษัทได้สิทธิ์ในการเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลากระป๋องภายใต้แบรนด์ “ปาปี้” จับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ และ แบรนด์ “ซุปเปอร์สตาร์” จับตลาดผู้มีรายได้น้อย ซึ่งผลิตโดย บริษัท สตาร์ แคนเนอรี่ จำกัด เบื้องต้นประกอบด้วยปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ ปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ ปลาทูน่าสเต๊กในน้ำเกลือ ปลาทูน่าสเต๊กในน้ำแร่ และ ปลาทูน่าสเต๊กในน้ำมันทานตะวัน

“ทั้ง 2 แบรนด์ได้เริ่มมีการทำตลาดมา 2 ปี แต่ยังไม่แพร่หลาย ซึ่งภายหลังจากที่บริษัทได้สิทธิ์ในการจัดหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป จะรุกเข้าไปในทุกช่องทางทั้งโมเดิร์นเทรด ร้านค้า ตลอดจนขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในลาว เตรียมเข้าไปเปิดสำนักงานสาขา โดยตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายในประเทศ 80% และต่างประเทศ 20% พร้อมกันนี้ยังตั้งเป้าภายใน 3 ปีจากนี้จะมียอดขายสูงสุดติด 5 อันดับแรกในตลาดปลากระป๋องในไทย ซึ่งมูลค่าตลาดในปัจจุบันอยู่ที่ 8-9 พันล้านบาท ขณะที่อัตราการเติบโตปีละ 2% แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ตลาดปลากระป๋องเติบโตถึง 7% ทั้งนี้ คงต้องดูในระยะยาวจะยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องหรือไม่”

นายสุรไกร กล่าวว่า ภายในปีนี้บริษัทยังมีอีก 3 ผลิตภัฑณ์ที่ได้สิทธิ์ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกอบด้วยเครื่องปรุงอาหาร ประเภทน้ำจิ้มไก่ น้ำพริกเผา ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผลิตภัณฑ์ไซรัป หรือน้ำเชื่อมสำหรับใช้ในธุรกิจร้านกาแฟ และข้าวบรรจุถุง ซึ่งมียอดขายติด 5 อันดับแรก โดยจะทยอยเปิดตัวในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน