ทียูโชว์ไตรมาส 2 กำไรสุทธิโต 1,440% ทะลุ 1.7 พันล้าน ประกาศปันผล 0.32 บาท/หุ้น – ชี้อาหารนับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ตลาดทั่วโลกมีความต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้น
ทียูโชว์ไตรมาส 2 กำไรเพียบ – นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู กล่าวว่า ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ทียูมีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 1,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,440% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายเพิ่มขึ้น 2.6% อยู่ที่ 33,051 ล้านบาท และ 6 เดือนแรกของปี 2563 มีการเติบโตของรายได้ 4.2% สูงที่สุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 64,154 ล้านบาท และบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.32 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นถึง 28% จากเงินปันผลระหว่างกาลปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 0.25 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรและประสบความสำเร็จในการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 อยู่ที่ 2,366 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย อยู่ที่ 11.1% มีสัดส่วนหนี้ต่อทุนอยู่ที่ 0.96 เท่า และมีอัตรากำไรขั้นต้น อยู่ที่ 18.2% นับเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปีอีกเช่นกัน ความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงาน การบริหารสินค้าคงคลังและการบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพยังทำให้ไตรมาส 2 นี้ มีกระแสเงินสดอิสระถึง 5,609 ล้านบาท
“อาหารนับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ตลาดทั่วโลกมีความต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อยอดขายของบริษัท ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่องและเต็มกำลัง เพื่อสร้างความมั่นใจและทำหน้าที่อย่างดีที่สุดในการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราให้ความสำคัญมาโดยตลอด คือมาตรการสุขภาพความปลอดภัยทั้งของพนักงานและในการผลิต เพื่อให้ธุรกิจของเราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ยอดขายในไตรมาสนี้เติบโตขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปที่ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 16.8% อยู่ที่ 16,394 ล้านบาท และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น 29.6% อยู่ที่ 101,136 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกยังคงจับจ่ายอาหารกระป๋องในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในส่วนของธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขายลดลง 14% อยู่ที่ 11,554 ล้านบาท และปริมาณการขายลดลง 10.5% อยู่ที่ 61,284 ตัน เนื่องจากช่องทางการจำหน่ายในธุรกิจโรงแรมร้านอาหารต่างๆ ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง
ในส่วนของธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 7.5% อยู่ที่ 5,103 ล้านบาท ด้วยปริมาณการขายที่เพิ่มมากขึ้นและกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการทำกำไรสูง
“ภาคธุรกิจต้องปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ไม่ใช่แค่ระยะสั้น แต่ต้องมองไปถึงระยะยาว สำหรับไทยยูเนี่ยน บริษัทเล็งเห็นถึงความต้องการอาหารที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการที่เน้นย้ำความปลอดภัยในการดำเนินงาน ทำให้บริษัทมั่นใจว่าสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพได้เป็นอย่างดี”
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนมียอดขายกระจายตัวอยู่ทุกพื้นที่ทั่วโลก โดย 6 เดือนแรกของปี 2563 นี้ ยอดขายในอเมริกาเหนือ มีสัดส่วน 42% ของยอดขายรวมทั้งหมด ในขณะที่ตลาดยุโรป คิดเป็น 30% ตลาดประเทศไทยมีสัดส่วน 10% และยอดขายตลาดอื่นๆ คิดเป็น 18%