นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มปตท. ช่วงไตรมาส 2/2563 มีกำไรสุทธิ 12,053 ล้านบาท ลดลง 53.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25,938 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่ขาดทุนสุทธิ 1,554 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการวางแผนดำเนินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งมีค่าเสื่อมราคาและภาษีเงินได้ลดลง
ทั้งนี้ ส่งผลให้กำไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2563 อยู่ที่ 10,499 ล้านบาท ลดลง 81% คิดเป็น 44,751 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 55,250 ล้านบาท เพราะสงครามราคาน้ำมัน สภาวะอุปทานล้นตลาดของน้ำมันดิบ ประกอบกับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจเพราะผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายประเทศมีมาตรการปิดเมือง
“โควิด-19 และสงครามราคาน้ำมันส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กลุ่ม ปตท. ยังคงประเมินผลกระทบและติดตามสถานการณ์ พร้อมวางแผนการดำเนินที่สร้างความยืดหยุ่นอย่างต่อเนื่อง ประเมินสุขภาพองค์กร ลด-ละ-เลื่อน ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยปีนี้คาดว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ 10-15%”
นอกจากนี้ กลุ่มปตท. ยังบริหารสภาพคล่องเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยได้เสนอขายหุ้นกู้ 3 ครั้ง เป็นหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐ อายุ 50 ปี เสนอขายให้กับนักลงทุนต่างประเทศวงเงิน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นกู้สกุลบาทเสนอขายให้นักลงทุนในประเทศ วงเงิน 35,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้รวมการออกหุ้นกู้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือกรีนบอนด์ 2,000 ล้านบาท
ในส่วนของการสนับสนุนและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ปตท.ได้ให้ความช่วยเหลือคิดเป็นมูลค่ารวม 851 ล้านบาท ได้แก่ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานโดยการสนับสนุนส่วนลดราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) แก่ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และลดราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติเหลวสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ให้กับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ มูลค่ารวมกว่า 659 ล้านบาท การสนับสนุนด้านงานวิจัยพัฒนาและจัดหาอุปกรณ์ป้องกันและเจลแอลกอฮอล์แก่บุคลากรทางการแพทย์ มูลค่า 192 ล้านบาท