บอร์ดรถไฟ เคาะศึกษาผุดทางคู่”แม่สอด – ตาก – กำแพงเพชร – นครสวรรค์ 9.6 หมื่นล้าน รองรับระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตก พร้อมรับทราบกรอบพัฒนาพื้นที่นิคมรถไฟ กม.11
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ร.ฟ.ท.วันนี้( 17 ก.ย.)ว่า ที่ประชุมเห็นชอบอนุมัติจ้างกลุ่มบริษัท เทสโก้ จำกัด ซึ่งร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท ดีไซน์ คอนเซป จำกัด ในวงเงิน 161 ล้านบาท ทำการศึกษา ออกแบบรายละเอียด และจัดทำผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงแม่สอด – ตาก – กำแพงเพชร – นครสวรรค์ คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2564 จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการศึกษารูปแบบลงทุน และจัดสรรงบเพื่อดำเนินการ
ทั้งนี้ถือเป็นรถไฟสายใหม่ ที่ ร.ฟ.ท. ต้องเวนคืนที่ดินใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นเส้นทางสำคัญที่สนับสนุนการขนส่งสินค้าชายแดนเชื่อมต่อกับพื้นที่ภายในประเทศ และเป็นแนวเส้นทางเชื่อมโยงการเดินทางระเบียงเศรษฐกิจอีสต์ – เวสต์ คอริดอร์ ไปต่อกับรถไฟสายนครสวรรค์ – บ้านไผ่ และบ้านไผ่ – นครพนม ดังนั้นการศึกษาออกแบบโครงการนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะมีการเชื่อมเส้นทางเชื่อมต่อจากฝั่งตะวันออก ไปยังฝั่งตะวันตก
นอกจากนี้ บอร์ด ร.ฟ.ท.ยังรับทราบรูปแบบการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณนิคมรถไฟ กม.11 ที่ตะพัฒนาเป็นมิกซ์ยูส บนพื้นที่ 325 ไร่ ประกอบไปด้วย ศูนย์แสดงสินค้า และโซนบ้านพักพนักงาน ร.ฟ.ท. ซึ่งรูปแบบการลงทุน จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2562 มอบสิทธิให้เอกชนบริหารจัดการพื้นที่ภายใต้สัมปทาน 50 ปี แบ่งเป็น ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี และบริหาร 46 ปี
“จะเปิดประมูลสัญญาเดียว ให้มีเอกชนรายเดียวในการบริหารจัดการ ประเมินว่ามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) โครงการอยู่ที่ 16,800 ล้านบาท ซึ่งบอร์ด ได้รับทราบผลการศึกษา แต่ยังไม่ได้สั่งการให้ดำเนินการ เพราะต้องการรอจัดตั้งบริษัทลูกบริหารสินทรัพย์เข้ามาดำเนินการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ”
รายงานว่าแจ้งว่า สำหรับโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงแม่สอด – ตาก – กำแพงเพชร – นครสวรรค์ มีระยะทาง 256 กิโลเมตร (กม.) มีกรอบวงเงินลงทุนอยู่ที่ราว 9.67 หมื่นล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟทางคู่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก (East West Economic Corridor – EWEC) สนับสนุนการขนส่งเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา สปป.ลาว เวียดนาม และกัมพูชา
