หอการค้าห่วงสถานการณ์การเมืองมีความรุนแรง มีการชุมนุมปักหลักยืดเยื้อยาวนาน กระทบเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเม็ดเงินจะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยลง

ห่วงการเมืองทุบความเชื่อมั่น – นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าประจำเดือนก.ย. 2563 ว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 365 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23-30 ก.ย. 2563 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนก.ย. อยู่ที่ระดับ 32.5 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนส.ค. 2563 ที่อยู่ในระดับ 32.3 โดยมีปัจจัยลบ คือ ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนและการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงจากเดิม รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ตลอดจนการชุมนุมทางการเมืองของเยาวชนและประชาชนกลุ่มต่างๆ การที่รัฐบาลขยายพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อบริหารจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นต้น ส่วนปัจจัยบวก คือ การคณะกรรมการนโยบายและการเงิน (กนง.) ปรับประมาณการเศรษฐกิจของไทยใหม่ เป็น 7.8% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 8.1% รัฐบาลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

นอกจากนี้ จากการสำรวจสถานการณ์เศรษฐกิจของจังหวัด กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าเศรษฐกิจของจังหวัดในปัจจุบันโดยรวมแย่ลง 65.7% ไม่เปลี่ยนแปลง 20.8% ดีขึ้น 13.5% คาดการณ์อีก 6 เดือนข้างหน้าแย่ลง 41.4% ไม่เปลี่ยนแปลง 40.1% ดีขึ้น 18.5% การบริโภคภายในจังหวัดในปัจจุบัน แย่ลง 35.2% ไม่เปลี่ยนแปลง 35.3% ดีขึ้น 11.5% อีก 6 เดือนข้างหน้า 53.2% เห็นว่าแย่ลง 35.3% ไม่เปลี่ยนแปลง 11.5% เห็นว่าดีขึ้น การลงทุนของภาคเอกชนในจังหวัดในปัจจุบัน 66.0% เห็นว่าแย่ลง 22.6% ไม่เปลี่ยนแปลง 11.4% เห็นว่าดีขึ้น ส่วนในอีก 6 เดือนข้างหน้า 48.9% เห็นว่าแย่ลง 29.8% ไม่เปลี่ยนแปลง 21.9% แย่ลง การท่องเที่ยวภายในจังหวัดในปัจจุบัน 84.1% เห็นว่าแย่ลง 9.7% เห็นว่าไม่เปลี่ยนแปลง และ 6.2% เห็นว่าดีขึ้น ส่วนในอีก 6 เดือนข้างหน้า 46.0% เห็นว่าแย่ลง 30.8% ไม่เปลี่ยนแปลง และ 232% เห็นว่าดีขึ้น

ขณะที่การจ้างงานในปัจจุบัน 70.1% เห็นว่าแย่ลง 21.0% เห็นว่าไม่เปลี่ยนแปลง 8.9% เห็นว่าดีขึ้น ส่วนอีก 6 เดือนข้างหน้า 25.9% เห็นว่าแย่ลง 59.2% เห็นว่าไม่เปลี่ยนแปลง และ 14.9% ดีขึ้น ส่วนภาคเกษตรกรรมของจังหวัดในปัจจุบัน 53.7% เห็นว่าแย่ลง ไม่เปลี่ยนแปลง 37.4% เห็นว่าดีขึ้น 8.4% ส่วนอีก 6 เดือนข้างหน้า 48.1% เห็นว่าแย่ลง 32.3% เห็นว่าไม่เปลี่ยนแปลง ดีขึ้น 19.6%

สำหรับแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหา หอการค้าเห็นว่าภาครัฐควรควบคุมราคาสินค้าให้กับประชาชน เนื่องจากในปัจจุบันประชาชนได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้การจับจ่ายไม่คึกคัก แนวทางการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวควรทำอย่างรัดกุมไม่ให้มีการระบาดของโรคเกิดขึ้นในประเทศ อีกรอบ ควรดูแลเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองให้มีเสถียรภาพเพื่อให้เกิดภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และควรเร่งใช้งบประมาณและเร่งการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งหาแนวทางลดภาระหนี้นอกระบบของครัวเรือน พร้อมทั้งกระตุ้นการลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศ

ส่วนชุมนุมในแต่ละกลุ่มที่เกิดขึ้นขณะนี้ หอการค้าไทยมองว่า ถ้าสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อและชุมนุมแบบค้างคืนไม่นาน เป็นการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ และไม่เกิดการปะทะรุนแรงหรือบานปลาย คาดว่าจะไม่กระทบต่อภาพรวมความเชื่อมั่นของภาคประชาชนและภาคธุรกิจแต่อย่างใด แต่คงจะต้องติดตามหากการชุมนุมยืดเยื้อไม่จบ เกิดการปะทะรุนแรงและเกิดการชุมนุมในทุกพื้นที่ไปทั่วและยาวนานจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ แน่นอน

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขณะนี้ทางภาครัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็น ช้อปดีมีคืน โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ประมาณ 2-3 แสนล้านบาท จะทำให้จีดีพีในไตรมาส 4 บวกขึ้นมาได้ 1-3% ส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ที่คาดว่าจะติดลบ 7 ถึงติดลบ 8% เหลือเพียงติดลบ 4 ถึงติดลบ 5% โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง แต่หากสถานการณ์การเมืองมีความรุนแรง มีการชุมนุมปักหลักยืดเยื้อยาวนาน กระทบเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเม็ดเงินจะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยลงเหลือเหลือ 1-1.5 แสนล้านบาทส่งผลทำให้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ติดลบ 6-7%

สำหรับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรืออบจ. ที่จะมีขึ้นช่วงปลายเดือนธ.ค.นี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินในการหาเสียงสู่ระบบมีมากถึง 3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการแข่งขันสูงพรรคการเมืองต่างจะส่งตัวแทนลงเลือกตั้ง เพราะอบจ. เป็นฐานเสียงสำคัญ ซึ่งก็จะช่วยกระตุกเศรษฐกิจในปีนี้ได้อีก จากนั้นในช่วงต้นปีหน้าก็จะมีการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล หรืออบต. อีก 3 หมื่นล้านบาท น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีโอกาสกลับมาเป็นบวกได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน