การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งปั๊มรายได้ ชงจัดประโยชน์ที่ดิน 10 แปลง เข้าบอร์ดไฟเขียว 12 พ.ย.นี้
รถไฟเร่งปั๊มรายได้ – นายเอก สิทธิเวคิน รองผู้ว่าการ กลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ของรฟท. ว่า ที่ประชุมได้เร่งรัดให้ รฟท. เปิดประมูลที่ดินที่มีอยู่ทั้งหมดราว 3 หมื่นไร่ เพื่อหารายได้ นอกเหนือจากรายได้การเดินรถ เบื้องต้นมีเป้าหมายจำนวน 10 สัญญา สามารถสร้างรายได้ทันทีภายในปีนี้ อาทิ ที่ดินย่านองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ติดกับรถไฟฟ้าสถานีสะพานควาย เป็นต้น รวมทั้งที่ให้เร่งพิจารณาคดีความที่ศาลพิพากษาในส่วนของสัญญาเช่าที่ดินต่างๆ ให้แล้วเสร็จ เพื่อนำที่ดินมาจัดประโยชน์ใหม่เพิ่มเติม ส่วนมูลค่าผลประโยชน์ตอบแทนอยู่ระหว่างการศึกษา
รายงานข่าวจาก รฟท. กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วันที่ 12 พ.ย.นี้ รฟท. จะมีการนำเสนอแนวทางจัดประโยชน์ที่ดินใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่ดินในสัญญาเช่าเก่า หมดอายุสัญญาแล้ว หรือกำลังจะหมดอายุสัญญา ซึ่งจะเป็นหารจัดประโยชน์ที่ดินใหม่เพื่อหารายได้เข้าองค์กรทันทีและต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นสัญญาที่จะนำมาพิจารณา มีจำนวนประมาณ 10 สัญญา อาทิ สัญญาที่ดินตลาดปลาศรีสมรัตน์ (จตุจักร) และสัญญาเช่าที่ดินวิเศษสถาปัตย์
ทั้งนี้ ฝ่ายทรัพย์สิน รฟท. เร่งจัดเตรียมข้อมูลสัญญาเช่า และพื้นที่เชิงพาณิชย์เสนอให้บริษัทลูกบริหารสินทรัพย์นำไปบริหารจัดหารายได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการจัดตั้งบริษัทลูก รฟท. จึงจะเร่งหารายได้ในส่วนสัญญาเช่าที่ดำเนินการได้ทันที ซึ่งเป็นสัญญาเช่าเดิม หากบอร์ดอนุมัติก็จะเริ่มหารายได้เข้าองค์กรภายในปีนี้
สำหรับแนวทางจัดประโยชน์ใหม่ ที่จะมีการเสนอขออนุมัติจากบอร์ดรฟท. มี 2 แนวทาง คือ 1. เจรจาต่อสัญญาเช่าจากคู่สัญญารายเดิม และ 2. เปิดประกวดราคาจัดหาคู่สัญญาเช่ารายใหม่ แต่ทั้งสองแนวทางนั้น จะจัดทำในอายุสัญญาระยะสั้น เพื่อสามารถส่งต่อสัญญาเช่าให้กับบริษัทลูกบริหารสินทรัพย์นำไปดำเนินการพัฒนาตามแผนที่วางไว้
ส่วนพื้นที่เชิงพาณิชย์แปลงใหญ่ อาทิ สถานีแม่น้ำ และสถานี กม. 11 รวมไปถึงพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟขนาดใหญ่ ตามหัวเมืองต่างจังหวัด รฟท. จะไม่ดำเนินการจัดหาประโยชน์ใหม่ในขณะนี้ เพราะต้องการส่งมอบให้บริษัทลูกนำไปดำเนินการในทันทีหลังจากจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จ เช่นเดียวกับพื้นที่แปลง A สถานีกลางบางซื่อ ก็จะดำเนินการจัดหาเอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) ซึ่งท้ายที่สุดบริษัทลูกจะต้องเป็นผู้ดำเนินการ
